นายสมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า ภาคธุรกิจประกันวินาศภัยยังต้องเผชิญความท้าทายในหลายมิติในปี 69 ทั้งความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงเฉพาะด้านมากขึ้น รวมถึงความเสี่ยงรูปแบบใหม่จากยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ภัยไซเบอร์ และประเด็น ESG
โดยบริษัท ไทยอินชัวรันส์ รีเสิร์ช แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (TIRD) ได้ประเมินว่าธุรกิจประกันวินาศภัย ในปี 69 ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ามีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมอยู่ในช่วง 301,000303,900 ล้านบาท เติบโต 2.5-3.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ขณะเดียวกัน ในปี 69 มีปัจจัยท้าทายสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดจากต้นทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนการซ่อมและอะไหล่ของรถยนต์ไฟฟ้า ความถี่และความรุนแรงของภัยธรรมชาติที่ส่งผลต่อประกันอัคคีภัยและ IARs ตลอดจนต้นทุนการประกันภัยต่อที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของการค้าโลกยังส่งผลต่อประกันภัยทางทะเลและขนส่ง ส่วนประกันภัยสุขภาพเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อทางการแพทย์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่อาจกระทบต่อทิศทางการเติบโตของเบี้ยประกันภัยในแต่ละกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ
ภายใต้ความเสี่ยงที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ภาคธุรกิจประกันวินาศภัยได้เตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งบริหารความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและสภาพภูมิอากาศผ่านการใช้แบบจำลองภัยพิบัติและการประกันภัยต่ออย่างเหมาะสม ควบคู่กับการเสริมเสถียรภาพระบบประกันสุขภาพผ่านความร่วมมือกับภาครัฐเพื่อควบคุมต้นทุนและรับมือเงินเฟ้อทางการแพทย์ พร้อมกันนี้ยังให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงจากการขยายตัวของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยที่ส่งผลต่อโครงสร้างการรับประกันภัยอย่างชัดเจน ทั้งในด้านความถี่และมูลค่าความเสียหาย ตลอดจนต้นทุนการซ่อมและอะไหล่
โดยยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่า 54% เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี ซึ่งเป็นประเด็นที่ภาคธุรกิจต้องติดตามและบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบโดยสนับสนุนการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยบนพื้นฐานข้อมูลความเสี่ยงจริง ต้นทุนอะไหล่ เทคโนโลยีแบตเตอรี่ พร้อมประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนามาตรฐานประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืน ซึ่งสมาคมฯ เชื่อมั่นว่า แนวทางดังกล่าวจะช่วยเสริมความมั่นคงของระบบประกันวินาศภัย เพิ่มความสามารถในการรองรับความเสี่ยงรอบด้าน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ขณะเดียวกัน จากการติดตามสถานการณ์และประเมินผลกระทบจากมหาอุทกภัยภาคใต้ จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ณ วันที่ 15 ธ.ค.68 พบว่ามีจำนวนกรมธรรม์ที่มีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนรวม 62,147 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 16,029 ล้านบาท และเมื่อรวมการประเมินความเสียหายเพิ่มเติม คาดว่ามูลค่าความเสียหายรวมจากเหตุอุทกภัยครั้งนี้จะอยู่ในช่วงประมาณ 23,000-27,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น รถยนต์ที่ได้รับความเสียหายประมาณ 25,000 ถึง 30,000 คัน (เฉพาะในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ประมาณ 9,000 ถึง 12,000 คัน) มีมูลค่าความเสียหายประมาณ 11,00013,000 ล้านบาท และประกันภัยทรัพย์สินรวมประมาณ 12,000-14,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในเชิงสัดส่วนกรมธรรม์ที่ได้รับผลกระทบยังอยู่ในวงจำกัด โดยประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจในพื้นที่น้ำท่วมมีสัดส่วนเพียง 6.4% และประกันภัยทรัพย์สิน 11.7% ของกรมธรรม์ทั้งหมด ซึ่งยังไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบประกันวินาศภัยไทย โดยอุตสาหกรรมยังมีอัตราความเพียงพอของเงินกองทุนอยู่ในระดับสูงกว่า 200% และภาระสินไหมทดแทนหลังการประกันภัยต่ออยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ใหญ่ในอดีต
"จากการประเมินในทุกมิติ สมาคมประกันวินาศภัยไทยขอยืนยันว่า ระบบประกันวินาศภัยของประเทศยังมีความมั่นคงและแข็งแกร่ง เงินกองทุนและการบริหารการประกันภัยต่ออยู่ในระดับที่สามารถรองรับความเสี่ยงจากเหตุการณ์รุนแรงได้อย่างเพียงพอ เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงศักยภาพของระบบประกันวินาศภัยไทยในการรับมือกับภัยพิบัติ แต่ยังตอกย้ำถึงความจำเป็นของการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกและการสร้างความตระหนักด้านการประกันภัยธรรมชาติในวงกว้าง สมาคมฯ จะเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการดูแลผู้เอาประกันภัย เสริมความพร้อมของระบบ และยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชน เพื่อให้ระบบประกันวินาศภัยเป็นกลไกหลักในการคุ้มครองเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างยั่งยืนต่อไป" นายสมพร กล่าวภาพรวมธุรกิจประกันวินาศภัยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 68 (ม.ค.-ก.ย. 68) มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 215,103 ล้านบาท เติบโต 2.89% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าตลอดปี 68 ธุรกิจจะเติบโตอยู่ในช่วง 2.0-3.0% หรือมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 292,290-295,150 ล้านบาท แม้ว่าปีนี้ภาคธุรกิจประกันวินาศภัยต้องเผชิญความเสี่ยงจากหลายปัจจัย ทั้งภัยธรรมชาติ เหตุการณ์อุบัติภัย และความผันผวนทางเศรษฐกิจ แต่ผลประกอบการโดยรวมยังคงขยายตัวได้ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งและการปรับตัวของอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ สมาคมฯร่วมกับคปภ. ศึกษาการจัดตั้ง กองทุนภัยพิบัติ วงเงินเบื้องต้น 50,000 ล้านบาท โดยใช้โครงสร้างจากอดีตที่เคยมีช่วงน้ำท่วมใหญ่ เงินกองทุนจะมาจาก 3 ส่วน ภาครัฐบริษัทประกันภัย และบริษัทประกันภัยต่อ เพื่อให้สามารถรองรับ เนื่องจากความเสียหายภัยพิบัติปัจจุบันเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรง เช่น น้ำท่วมภาคใต้ปี 68 มีกรมธรรรม์เรียกร้องค่าสินไหม ณ 15 ธ.ค. 68 แล้ว 62,100 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 16,000 ล้านบาท คาดความเสียหายรวม จะมีประมาณ 23,000-27,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ สมาคมฯคาดว่าจะไม่กระทบต่อสภาพคล่องและความมั่นคงของบริษัทประกันภัย เนื่องจากอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 200% โดยมูลค่าสินไหมหลังการประกันภัยต่อจากเหตุการณ์นี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15-20%