ในช่วงเวลาที่ตลาดทุนไทยเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นตรงกัน คือ ทางการอยากให้เงินทุนต่างชาติกลับมา และคำตอบของโจทย์นี้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน
สิ่งที่ตลาดทุนต้องการมากที่สุด คือ ทุนต่างชาติ Fund flow และสภาพคล่อง ให้มีกลับเข้ามา บวกกับความเชื่อมั่นกับการมีหลักเกณฑ์ที่อิงความเป็นสากลในเรื่องของกฎและกติกาของตลาดหุ้น
การที่ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมาระบุว่าจะทบทวนมาตรการตลาดทุนในช่วงต้นปีหน้า หลังจากได้รับคำเตือนจาก MSCI (Morgan Stanley Capital International) บริษัทระดับโลกที่ทำดัชนีตลาดหุ้น (Stock Indices) ที่นักลงทุนและกองทุนทั่วโลกใช้เป็น เกณฑ์อ้างอิง (Benchmark) ถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะที่ผ่านมาหลายปีนักลงทุนต่างชาติที่ตาม MSCI ได้ขายหุ้นไทยออกมาไม่ยั้งและยังไม่มีทีท่าจะจบ

คำถามสำคัญ คือ การทบทวนครั้งนี้ จะเป็นเพียงการ "ปรับจูนเล็กน้อย" หรือ จะเป็นการยอมรับปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง
หลายวันก่อนผู้เขียนเห็นทางสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ลงโพสต์สั้นๆ ถึงข้อมูลของ OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development) ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่ตั้งมาตรฐานและแนวทางด้าน เศรษฐกิจ การเงิน และธรรมาภิบาล ได้ ส่งสัญญาณชัดถึงปัญหาของตลาดหุ้นไทยที่ต่างชาติมองเห็น ที่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ถูกมองข้ามละเลยมานานแล้ว
OECD ได้เผยแพร่รายงาน Capital Market Review of Thailand 2025 ซึ่งเป็นเหมือน "กระจกสะท้อนมุมมองต่างชาติ" ที่มองเข้ามายังตลาดทุนไทย
รายงานฉบับนี้ไม่ได้เสนอเรื่องเพ้อฝัน หรือเกินศักยภาพที่ประเทศไทยจะทำได้ แต่กลับชี้ตรงไปที่ปัญหาพื้นฐานที่ตลาดหุ้นไทยยังแก้ไม่ตก อาทิ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของนักลงทุนสถาบันในประเทศ, การแก้ปัญหาบรรษัทภิบาลอย่างยั่งยืน ,ส่งเสริมความเป็นอิสระของ สำนักงาน ก.ล.ต.
รวมถึง การแยกบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ชัดเจนระหว่าง ฝ่ายดำเนินธุรกิจ (commercial) กับฝ่ายกำกับดูแล (regulate)
ทั้งหมดนี้คือ "มาตรฐานสากล" ที่ตลาดทุนชั้นนำทั่วโลกใช้เป็นฐาน ไม่ใช่ข้อเรียกร้องเกินจริงแต่อย่างใด
ส่วนในเรื่องของ "สภาพคล่อง" แผลใหญ่ที่มีมาตรการในช่วง 2 ปีที่ผ่านมากลับกลายเป็นการ "ซ้ำเติมให้หนักขึ้นมากกว่าที่จะรักษาให้ดีขึ้น"
หนึ่งในประเด็นที่ OECD ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือ ปัญหาสภาพคล่องของตลาด โดยเฉพาะ หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก และ หุ้นที่มี free float ต่ำ
เราต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า มาตรการหลายอย่างของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่ถูกกระแสของ การเมือง โบรกเกอร์บางแห่งที่ร่วมมือกับเสี่ยรายใหญ่ที่เสียผลประโยชน์ มาพบเจอกับรายย่อย-อินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องตลาดทุนที่แท้จริงมาบีบให้ต้องทำตาม
บางช่วงเวลาเลยเถิดไปถึงอดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ บางคนไปโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "ตลาดหุ้นไทยควรเป็นของคนไทย เราต้องไล่ต่างชาติที่หวังเข้ามาทำลายตลาดหุ้นออกไปให้หมด"
รวมถึง ยังไปพูดต่อว่า "โบรกเกอร์" ที่ดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาเป็นพวก"ขายชาติ" อีกต่างหาก
สิ่งนี้ ทำให้คนทั่วไปที่ไม่มีความเข้าใจจริงๆ เชื่อตาม เพียงแค่เพราะคนพูดเคยเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงในอดีต
ผู้เขียนอยากเตือนให้ทุกท่านที่อยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ทราบว่า องค์ความรู้ต่างๆ ของใครก็ตามที่เคยมีในอดีต (แค่ผ่านมา 5-10 ปี) หากใครคิดจะหยิบมาใช้ "ควรจะต้องระมัดระวัง การนำความรู้ หรือความเชื่อเก่ามาใช้ให้มากขึ้น"
สิ่งเหล่านี้มีส่วนทำลาย "สภาพคล่อง" ของหุ้นกลุ่มนี้ (ขนาดกลาง-เล็ก) อย่างชัดเจน ทั้งในเชิงวอลุ่มการซื้อขาย และความสนใจของนักลงทุน
OECD จึงเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรม เช่น การมี market maker , liquidity provider เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง ลดผลกระทบด้านราคาผันผวนสูง ทำให้นักลงทุนรายย่อยและสถาบันสามารถซื้อขายได้ง่ายขึ้น
อีกทั้ง การส่งเสริมโครงการสนับสนุนบทวิเคราะห์หุ้นที่ไม่มีใคร cover โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็ก เพราะปัจจุบัน resource การทำบทวิจัยจะกระจุกตัวอยู่แค่ประมาณ 300 บริษัทจดทะเบียน เพราะหุ้นที่เหลืออีก 600 ตัวแทบไม่มีการเทรด
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอที่สำคัญอื่นๆ คือ การทยอยยกเลิกดัชนีที่ไม่ใช่ free float adjusted เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และสร้างแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนเพิ่ม free float ของตัวเองให้มีคุณภาพและโปร่งใสขึ้น
เมื่อหันกลับมามองมาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น short sell restriction, uptick rule, dynamic price band, การจำกัด HFT ให้เทรดได้เฉพาะ SET100 หรือการห้าม short หุ้นนอก SET100 ทำให้คุณภาพความน่าสนใจลดลง สภาพคล่องเหือดหายในรอบหลายปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่ามาตรการเหล่านี้ไม่ได้ทำให้หุ้นขึ้นเหมือนที่เคยถูกอ้างไว้
หรือแม้แต่ speed bump ที่ใส่เข้ามา เพราะถูกเรียกร้องกันอย่างหนักว่าความเร็วเป็นตัว "เอาเปรียบ" และ "ฆ่า" รายย่อย แต่พอมาวันนี้การสร้างลูกระนาดลดความเร็วก็ไม่ทำให้หุ้นขึ้น หรือ รายย่อยแห่กันมาอยากซื้อหุ้นให้ได้กำไรเพิ่มมากขึ้นเลย
ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ เองก็ดูจะตระหนัก ตัวถ่วงความเร็ว speed bump ที่เคยใส่ไว้ที่ 0.8 ms ถูกปรับลดลงมาอย่างเงียบฯเหลือ 0.3 ms ภายใน 5 เดือน
การใช้ speed bump ที่แทบไม่มีใครทำกันในโลกนี้เพราะเหมือนอยู่โลก 5G แต่กลับไปใช้ 3G แทน และนี่เป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับนักลงทุนที่ต้องการความเร็ว เป็นการสร้าง barrier to entry ให้กับผู้เล่นรายใหม่ รวมถึงผลักผู้เล่นที่มีเงินลงทุนมีความรู้ไปตั้ง data center ข้างนอก
ผลลัพธ์คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่เพียงเสียรายได้ แต่ยังสูญเสียความสามารถในการกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ถ้าตลาดหุ้นไทย หรือนักลงทุนไทย ต้องการ fund flow ก่อนอื่นต้องเริ่มจาก "ยอมรับความจริง" ว่าต่างชาติเข้ามาเทรดหุ้นไทย ไม่ใช่การทำลาย หรือเอาเปรียบรายย่อย หากสิ่งที่ตลาดไทยต้องการ คือ เงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติ
ข้อเสนอของ OECD ไม่ใช่สิ่งที่สามารถมองข้ามได้ เพราะนี่คือเสียงสะท้อนจากนักลงทุนที่มองหาตลาดที่มีคุณภาพ กติกาที่เป็นสากล การมีสภาพคล่องที่แท้จริง รวมถึงการกำกับดูแลที่โปร่งใส
การทบทวนมาตรการรอบนี้ จึงไม่ควรอ้างอิงจาก "อารมณ์ตลาด" หรือแรงกดดันรายวัน แต่ควรตั้งอยู่บน ข้อมูล หลักการสากล และ ความจริงใจในการแก้ไขข้อผิดพลาด
เพราะทุกวันที่ปล่อยให้ตลาดขาดคุณภาพและสภาพคล่อง คือทุกวันที่ต้นทุนความเสียหายของตลาดทุนไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และสุดท้าย คนที่ต้องจ่ายราคาแพงที่สุดไม่ใช่กูรู-อินฟลูเอนเซอร์-รายใหญ่ที่เรียกร้องมาตรการ แต่คนที่ควรจะเสียหายหนักที่สุด คือ นักลงทุน ตลาดทุนไทย และ เศรษฐกิจของไทย ลามไปถึงภาครัฐ-เอกชนที่ต้องการใช้ตลาดทุนในการระดมทุนก็ไม่สามารถทำได้ บรรดาหุ้นไอพีโอดีๆ ก็เตรียมหนีไปเข้าตลาดหุ้นอื่น แล้วอนาคต คนไทย ตลาดหุ้นไทย และ เศรษฐกิจไทยจะอยู่กันอย่างไร
ธิติ ภัทรยลรดี