มองมุมต่าง: OECD ย้ำไทยต้องทบทวนมาตรการตลาดทุน ยืนบนข้อมูล ไม่ตามกระแสแรงกดดันไร้คำอธิบาย

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 23, 2025 16:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

มองมุมต่าง: OECD ย้ำไทยต้องทบทวนมาตรการตลาดทุน ยืนบนข้อมูล ไม่ตามกระแสแรงกดดันไร้คำอธิบาย

ในช่วงเวลาที่ตลาดทุนไทยเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นตรงกัน คือ ทางการอยากให้เงินทุนต่างชาติกลับมา และคำตอบของโจทย์นี้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน

สิ่งที่ตลาดทุนต้องการมากที่สุด คือ ทุนต่างชาติ Fund flow และสภาพคล่อง ให้มีกลับเข้ามา บวกกับความเชื่อมั่นกับการมีหลักเกณฑ์ที่อิงความเป็นสากลในเรื่องของกฎและกติกาของตลาดหุ้น

การที่ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมาระบุว่าจะทบทวนมาตรการตลาดทุนในช่วงต้นปีหน้า หลังจากได้รับคำเตือนจาก MSCI (Morgan Stanley Capital International) บริษัทระดับโลกที่ทำดัชนีตลาดหุ้น (Stock Indices) ที่นักลงทุนและกองทุนทั่วโลกใช้เป็น เกณฑ์อ้างอิง (Benchmark) ถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะที่ผ่านมาหลายปีนักลงทุนต่างชาติที่ตาม MSCI ได้ขายหุ้นไทยออกมาไม่ยั้งและยังไม่มีทีท่าจะจบ

มองมุมต่าง: OECD ย้ำไทยต้องทบทวนมาตรการตลาดทุน ยืนบนข้อมูล ไม่ตามกระแสแรงกดดันไร้คำอธิบาย

คำถามสำคัญ คือ การทบทวนครั้งนี้ จะเป็นเพียงการ "ปรับจูนเล็กน้อย" หรือ จะเป็นการยอมรับปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง

หลายวันก่อนผู้เขียนเห็นทางสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ลงโพสต์สั้นๆ ถึงข้อมูลของ OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development) ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่ตั้งมาตรฐานและแนวทางด้าน เศรษฐกิจ การเงิน และธรรมาภิบาล ได้ ส่งสัญญาณชัดถึงปัญหาของตลาดหุ้นไทยที่ต่างชาติมองเห็น ที่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ถูกมองข้ามละเลยมานานแล้ว

OECD ได้เผยแพร่รายงาน Capital Market Review of Thailand 2025 ซึ่งเป็นเหมือน "กระจกสะท้อนมุมมองต่างชาติ" ที่มองเข้ามายังตลาดทุนไทย

รายงานฉบับนี้ไม่ได้เสนอเรื่องเพ้อฝัน หรือเกินศักยภาพที่ประเทศไทยจะทำได้ แต่กลับชี้ตรงไปที่ปัญหาพื้นฐานที่ตลาดหุ้นไทยยังแก้ไม่ตก อาทิ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของนักลงทุนสถาบันในประเทศ, การแก้ปัญหาบรรษัทภิบาลอย่างยั่งยืน ,ส่งเสริมความเป็นอิสระของ สำนักงาน ก.ล.ต.

รวมถึง การแยกบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ชัดเจนระหว่าง ฝ่ายดำเนินธุรกิจ (commercial) กับฝ่ายกำกับดูแล (regulate)

ทั้งหมดนี้คือ "มาตรฐานสากล" ที่ตลาดทุนชั้นนำทั่วโลกใช้เป็นฐาน ไม่ใช่ข้อเรียกร้องเกินจริงแต่อย่างใด

ส่วนในเรื่องของ "สภาพคล่อง" แผลใหญ่ที่มีมาตรการในช่วง 2 ปีที่ผ่านมากลับกลายเป็นการ "ซ้ำเติมให้หนักขึ้นมากกว่าที่จะรักษาให้ดีขึ้น"

หนึ่งในประเด็นที่ OECD ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือ ปัญหาสภาพคล่องของตลาด โดยเฉพาะ หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก และ หุ้นที่มี free float ต่ำ

เราต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า มาตรการหลายอย่างของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่ถูกกระแสของ การเมือง โบรกเกอร์บางแห่งที่ร่วมมือกับเสี่ยรายใหญ่ที่เสียผลประโยชน์ มาพบเจอกับรายย่อย-อินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องตลาดทุนที่แท้จริงมาบีบให้ต้องทำตาม

บางช่วงเวลาเลยเถิดไปถึงอดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ บางคนไปโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "ตลาดหุ้นไทยควรเป็นของคนไทย เราต้องไล่ต่างชาติที่หวังเข้ามาทำลายตลาดหุ้นออกไปให้หมด"

รวมถึง ยังไปพูดต่อว่า "โบรกเกอร์" ที่ดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาเป็นพวก"ขายชาติ" อีกต่างหาก

สิ่งนี้ ทำให้คนทั่วไปที่ไม่มีความเข้าใจจริงๆ เชื่อตาม เพียงแค่เพราะคนพูดเคยเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงในอดีต

ผู้เขียนอยากเตือนให้ทุกท่านที่อยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ทราบว่า องค์ความรู้ต่างๆ ของใครก็ตามที่เคยมีในอดีต (แค่ผ่านมา 5-10 ปี) หากใครคิดจะหยิบมาใช้ "ควรจะต้องระมัดระวัง การนำความรู้ หรือความเชื่อเก่ามาใช้ให้มากขึ้น"

สิ่งเหล่านี้มีส่วนทำลาย "สภาพคล่อง" ของหุ้นกลุ่มนี้ (ขนาดกลาง-เล็ก) อย่างชัดเจน ทั้งในเชิงวอลุ่มการซื้อขาย และความสนใจของนักลงทุน

OECD จึงเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรม เช่น การมี market maker , liquidity provider เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง ลดผลกระทบด้านราคาผันผวนสูง ทำให้นักลงทุนรายย่อยและสถาบันสามารถซื้อขายได้ง่ายขึ้น

อีกทั้ง การส่งเสริมโครงการสนับสนุนบทวิเคราะห์หุ้นที่ไม่มีใคร cover โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็ก เพราะปัจจุบัน resource การทำบทวิจัยจะกระจุกตัวอยู่แค่ประมาณ 300 บริษัทจดทะเบียน เพราะหุ้นที่เหลืออีก 600 ตัวแทบไม่มีการเทรด

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอที่สำคัญอื่นๆ คือ การทยอยยกเลิกดัชนีที่ไม่ใช่ free float adjusted เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และสร้างแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนเพิ่ม free float ของตัวเองให้มีคุณภาพและโปร่งใสขึ้น

*มาตรการเชิงกลไก vs คุณภาพตลาดจริง

เมื่อหันกลับมามองมาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น short sell restriction, uptick rule, dynamic price band, การจำกัด HFT ให้เทรดได้เฉพาะ SET100 หรือการห้าม short หุ้นนอก SET100 ทำให้คุณภาพความน่าสนใจลดลง สภาพคล่องเหือดหายในรอบหลายปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่ามาตรการเหล่านี้ไม่ได้ทำให้หุ้นขึ้นเหมือนที่เคยถูกอ้างไว้

หรือแม้แต่ speed bump ที่ใส่เข้ามา เพราะถูกเรียกร้องกันอย่างหนักว่าความเร็วเป็นตัว "เอาเปรียบ" และ "ฆ่า" รายย่อย แต่พอมาวันนี้การสร้างลูกระนาดลดความเร็วก็ไม่ทำให้หุ้นขึ้น หรือ รายย่อยแห่กันมาอยากซื้อหุ้นให้ได้กำไรเพิ่มมากขึ้นเลย

ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ เองก็ดูจะตระหนัก ตัวถ่วงความเร็ว speed bump ที่เคยใส่ไว้ที่ 0.8 ms ถูกปรับลดลงมาอย่างเงียบฯเหลือ 0.3 ms ภายใน 5 เดือน

การใช้ speed bump ที่แทบไม่มีใครทำกันในโลกนี้เพราะเหมือนอยู่โลก 5G แต่กลับไปใช้ 3G แทน และนี่เป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับนักลงทุนที่ต้องการความเร็ว เป็นการสร้าง barrier to entry ให้กับผู้เล่นรายใหม่ รวมถึงผลักผู้เล่นที่มีเงินลงทุนมีความรู้ไปตั้ง data center ข้างนอก

ผลลัพธ์คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่เพียงเสียรายได้ แต่ยังสูญเสียความสามารถในการกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

ถ้าตลาดหุ้นไทย หรือนักลงทุนไทย ต้องการ fund flow ก่อนอื่นต้องเริ่มจาก "ยอมรับความจริง" ว่าต่างชาติเข้ามาเทรดหุ้นไทย ไม่ใช่การทำลาย หรือเอาเปรียบรายย่อย หากสิ่งที่ตลาดไทยต้องการ คือ เงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติ

ข้อเสนอของ OECD ไม่ใช่สิ่งที่สามารถมองข้ามได้ เพราะนี่คือเสียงสะท้อนจากนักลงทุนที่มองหาตลาดที่มีคุณภาพ กติกาที่เป็นสากล การมีสภาพคล่องที่แท้จริง รวมถึงการกำกับดูแลที่โปร่งใส

การทบทวนมาตรการรอบนี้ จึงไม่ควรอ้างอิงจาก "อารมณ์ตลาด" หรือแรงกดดันรายวัน แต่ควรตั้งอยู่บน ข้อมูล หลักการสากล และ ความจริงใจในการแก้ไขข้อผิดพลาด

เพราะทุกวันที่ปล่อยให้ตลาดขาดคุณภาพและสภาพคล่อง คือทุกวันที่ต้นทุนความเสียหายของตลาดทุนไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

และสุดท้าย คนที่ต้องจ่ายราคาแพงที่สุดไม่ใช่กูรู-อินฟลูเอนเซอร์-รายใหญ่ที่เรียกร้องมาตรการ แต่คนที่ควรจะเสียหายหนักที่สุด คือ นักลงทุน ตลาดทุนไทย และ เศรษฐกิจของไทย ลามไปถึงภาครัฐ-เอกชนที่ต้องการใช้ตลาดทุนในการระดมทุนก็ไม่สามารถทำได้ บรรดาหุ้นไอพีโอดีๆ ก็เตรียมหนีไปเข้าตลาดหุ้นอื่น แล้วอนาคต คนไทย ตลาดหุ้นไทย และ เศรษฐกิจไทยจะอยู่กันอย่างไร

ธิติ ภัทรยลรดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ