บล.กรุงศรี ระบุว่า ในช่วงปลายปี 2568 ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าที่ตลาดคาด โดยล่าสุดแข็งค่าลงมาบริเวณ 31.0 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบราว 4.5 ปี หากเทียบจากปลายเดือน ต.ค.ที่ระดับ 33.0 บาท หรือจากต้นปี 2568 ที่ 34.5 บาท ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแล้วราว +9.5% YTD โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของปัจจัย Macro มากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น
บล.กรุงศรี ประเมินสาเหตุหลักที่เงินบาทแข็งค่า ดังนี้
1. ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ-ไทยที่มีแนวโน้มแคบลง (Interest Rate Differentials) อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ล่าสุดอยู่ที่ 3.5-3.75% และในปี 2569 คาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 3 ครั้งสู่ระดับ 2.75- 3.0% ขณะที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยยังมีแนวโน้มปรับลงอีกราว 1 ครั้งในปี 2569 จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.25% (ช่องว่างหรือ Room ในการลดดอกเบี้ยของไทยน้อยกว่า) โดยรวมเป็นปัจจัยหนุนเงินไหลเข้า
2. เศรษฐกิจภายในและภาคการท่องเที่ยว ช่วงปลายปีเป็นช่วง High Season ของฤดูกาลท่องเที่ยวไทย ซึ่งช่วยหนุนดุลบริการให้แข็งแกร่งขึ้น
3. เงินทุนไหลเข้าตลาดทุน อิงข้อมูล Flow ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยในเดือน ธ.ค. รวม 7.27 พันล้านบาท โดยเป็นการซื้อสุทธิหุ้นไทยถึง 10 ใน 15 วันทำการ
4. ธุรกรรมทองคำ เนื่องจากในปี 2568 ราคาทองคำปรับขึ้นมาเร็วและแรง ส่งผลให้มีการนำเข้าทองคำและหนุนการขายสกุลเงินดอลลาร์เพื่อซื้อเงินบาท เป็นปัจจัยเสริมให้เงินบาทแข็งค่า
สำหรับมาตรการดูแลจากหน่วยงานรัฐ ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. กระทรวงการคลัง,ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยแนวทางบริหารจัดการสถานการณ์ค่าเงินบาท โดยประเมินปัจจัยเบื้องหลังมาจากฝั่งทองคำ จึงออก 3 มาตรการสำคัญ ได้แก่ 1. ผู้ให้บริการซื้อ-ขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องรายงานข้อมูลธุรกรรมให้กรมสรรพากร 2. กรมสรรพากรพิจารณาความเหมาะสมในการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ 3. ธปท. พิจารณาแนวทางกำกับปริมาณธุรกรรมทองคำออนไลน์ที่เหมาะสม เช่น การกำหนดเพดานหรือวงเงิน
บล.กรุงศรี ประเมินว่ามาตรการดังกล่าวเป็นเพียงการตรวจสอบ ซึ่งไม่น่าจะทำให้ทิศทางเงินบาทเปลี่ยนเทิศ โดยคาดว่ายังมีโอกาสแข็งค่าต่อ Krungsri Research ประเมินสมมติฐานค่าเงินบาท/ดอลลาร์ ปี 2569-2570 ที่ 32.1 บาท ในเชิง Technical Analysis: ประเมินแนวรับสำคัญที่ 30.75 / 30.25 บาท/ดอลลาร์ หากถึงระดับนี้คาดว่าจะมีโอกาสดีดตัวกลับเนื่องจาก RSI เตือนภาวะขายมากเกินไป (Oversold) โดยมีแนวต้านช่วงดีดตัวที่ 31.9 / 32.5 บาท/ดอลลาร์
ขณะที่ผลกระทบต่อหุ้นไทย KSS ประเมินว่าทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าขึ้นจากสมมติฐาน จะส่งผลต่อ Net Profit ปี 2569 - 2570 ดังนี้:
ผลกระทบเชิงบวก (กลุ่มผู้นำเข้าและมีหนี้สกุลดอลลาร์) อาทิ
1. กลุ่มการบิน: รับผลบวกจากการ Mark to Market สินทรัพย์และหนี้สิน โดยเฉพาะ AAV (ทุก 1 บาทที่แข็งค่า เป็น Upside ต่อกำไรราว 1,000 ล้านบาท หรือ +121% จากคาดการณ์ปี 2569) และ BA ทุกๆ 1บาทที่แข็งค่าเป็น Upside ต่อกำไรราว 50 ล้านบาท หรือ+1.4%
2. กลุ่มนิคมอุตสหกรรม ผลบวกจาก Mark to Market สินทรัพย์และหนี้สิน WHA (กำไรปี 2569 เพิ่มราว 7.7% ต่อทุก 1% ที่แข็งค่า), AMATA (+4.9%)
3. กลุ่มพลังงาน (โรงกลั่น,น้ำมัน) และกลุ่มปิโตรเคมี ผลบวกจาก Mark to Market สินทรัพย์และหนี้สิน นำโดย ทุกๆ 1บาทที่แข็งค่าเป็น Upside ต่อกำไรปี 69 ราว TOP 5.7%, SPRC (+5.6%), PTT (+4.4%), PTTGC (+3.2%), BCP (+2.3%) , IVL (+1.6%) PTTEP (+0.4%)
4. กลุ่มโรงไฟฟ้า ผลบวกจาก Mark to Market สินทรัพย์และหนี้สินและบางบริษัทได้ประโยชน์จากหนี้สินและต้นทุนก๊าซ BGRIM (+4.9%), EGCO (+4.2%), GPSC (+3.9%),RATCH (+2.1%), CKP (+1.7%), GULF (+0.6%), GUNKUL (+0.2%)
5. กลุ่มเกษตร ผลบวกของการเป็นบริษัทที่มีสถานะ Net import และมีการ Hedging ค่าเงิน อาทิ TVO (+2.5%)
6. กลุ่ม ICT ผลบวกต่อต้นทุนนำเข้าอุปกรณ์ในฝั่งงบลงทุน (CAPEX) ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ช่วยลดภาระงบลงทุน บวกต่อ ADVANC, TRUE นอกจากนี้ บวกต่อกลุ่มนำเข้าอุปกรณ์ IT, Software มาจำหน่าย อาทิ COM7, SYNEX,BBIK และ INSET
7. หุ้น Mid/Small Cap ที่เน้นกลุ่มนำเข้าจากต่างประเทศ ต้นทุนจะลดต่ำลง คือ MOSHI (นำเข้า 60%ของต้นทุน) กำไรเพิ่มราว 1-1.5% ต่อทุก 1% ที่แข็งค่า
ผลกระทบเชิงลบ จากแนวโน้มเงินบาทที่แข็งค่า
1. กลุ่มโรงแรม ผลกระทบ จากการมีรายได้สกุลเงินต่างประเทศ แปลงเป็นบาทแล้วลดต่ำลงนำโดย SHR (Downside -8% ต่อทุก 1 บาทที่แข็งค่า), MINT (-5%), TU (-4%), CENTEL (-1%)
2. กลุ่มส่งออก ผลกระทบจากการมีรายได้สกุลเงินต่างประเทศ แปลงเป็นบาทแล้วลดต่ำลง หลักๆคือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ DELTA, KCE, HANA (กำไรปี 2569 ลดลงราว 4-7% ต่อทุก 1% ที่แข็งค่า) แนะนำชะลอการลงทุน
3. กลุ่มเครื่องดื่ม ผลกระทบจากการมีรายได้สกุลเงินต่างประเทศ แปลงเป็นบาทแล้วลดต่ำลง SAPPE (-6.7%), CBG (-5.0%), OSP (-2.0%)
4. กลุ่มเกษตรและอาหาร ผลกระทบจากการมีรายได้สกุลเงินต่างประเทศ แปลงเป็นบาทแล้วลดต่ำลง STA, NER กำไรลดลงเฉลี่ยราว -1%
ด้านกลยุทธ์การลงทุน เน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าและ Fund Flow:
- กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC, BGRIM เน้น GULF([email protected]) ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง และเงินบาทแข็งค่า และ หุ้นหลักที่ได้ประโยชน์กระแส Data Center โลกและไทยที่เป็นรอบลงทุนครั้งใหญ่ + ราคาหุ้นยัง Laggard กลุ่มอย่างมีนัยฯ YTD -25% vs Utilities ลดลง -9.2%)
- กลุ่มสายการบิน AAV(Max Consensus TP@ 1.5) ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากที่สุด ผสานปลายปี 68 - ต้นปี 70 มีปัจจัยหนุนจากภาคการท่องเที่ยวคาดเร่งขึ้นจากฤดูกาล
- กลุ่มวัสดุก่อสร้าง หลักๆ คือ TOA ([email protected]) ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่า และเป็นรายใหญ่กลุ่มสีด้วย Market share 50% ในไทย, ไม่มีสินค้าจีนแข่ง, Net cash
- กลุ่มสื่อสาร หลักๆ แนะนา ADVANC ([email protected]) ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่า บวกต่องบลงทุน (CAPEX) ปีละ 2.5-3.0 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ดีต่อธุรกิจขายสินค้า IT มีต้นทุนขายปีละ 2.0-3.0 หมื่นล้านบาท
- กลุ่มค้าปลีก คือ MOSHI([email protected]) สัดส่วนนำเข้า 60% ของต้นทุน ทุกๆ 1% ของค่าเงินที่เปลี่ยนมีผลต่อกำไร 69-70 เพิ่มราว 1.5% โดยบริษัทมีจุดเด่นคือเปิดสาขาปี 69 +35 แห่ง เตรียม Promote product champion ต่อยอดระยะยาว โดยเราคาดกำไร 3 ปีหน้าเติบโต CAGR 18% ต่อปี