แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ระบุว่าจากนี้ไปคนที่จะอยู่รอดในวงการโบรกเกอร์ได้ ควรจะต้องมีการปรับตัว โดยเฉพาะธุรกิจด้านวาณิชธนกิจ (IB) ที่นำหุ้นไอพีโอเข้าตลาด
เนื่องจาก เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจะมีบริษัทเข้ามาระดมทุนผ่านหุ้นไอพีโอภายใน 9 เดือนจากนี้ไป หรือไม่เกินเดือนกันยายน 2569 มากที่สุดเพียงแค่ 5-6 บริษัทเท่านั้น ยังไม่นับว่าจะมีการเปลี่ยนใจ หรือถอนตัวระหว่างทางอีกกี่บริษัท
ส่วนบริษัทที่จะเข้าหลังจากนี้ก็จะขยับไปเป็นเดือนตุลาคม 2569 เป็นต้นไป จนถึงปี 2570
จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้บริษัทหลักทรัพย์ หรือ บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ที่อาศัยหรือพึ่งพิงรายได้ค่าธรรมเนียมจากการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้ง SET-mai อาจจะมีปัญหาต้องลดคน ถ้าไม่ปรับตัวไปหาธุรกรรมอื่นทำเพื่อหาค่าธรรมเนียมมาชดเชย
สำหรับค่าธรรมเนียมที่ควรจะนำมาชดเชย คือ การแนะนำบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ใน SET-mai ที่มีสภาพคล่อง ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี(BV) หรือ บริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลปีละ 6-7% ขึ้นไป รวมถึงบริษัทที่มี free cash flow เกิน10%
อีกทั้งยังรวมถึงบริษัทที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุน หรือใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อการระดมทุนจากนี้ไป 1-2 ปีข้างหน้า ก็ควรแนะนำให้ถอนบริษัทออกนอกตลาด (Delist)
ประกอบกับ ในช่วงที่ภาวะดอกเบี้ยเป็นขาลง การกู้แบงก์ถือเป็นทางเลือกที่ดี ที่จะป้องกันไม่ให้กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ลดลง และมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่าการระดมทุนในตลาดหุ้น
"การนำเศษเงินที่ไปกู้แบงก์จากอัตราดอกเบี้ย 4-5% มาซื้อกิจการของตนเอง และถอนออกนอกตลาดหุ้น ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจและมีส่วนต่าง"หลังจากนั้น หากภาวะตลาดดีขึ้น จึงค่อยกลับมาขายไอพีโอใหม่ก็สามารถทำได้
ปัจจุบันมีหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีเป็นจำนวนมาก มีหุ้นที่จ่ายเงินปันผลในระดับ 8-10% มากมาย รวมถึงมีบริษัทที่มีกระแสเงินสดเยอะๆ แทนที่จะซื้อหุ้นคืน ก็เก็บเอาไว้ แล้วไปกู้แบงก์ ถือเป็นเงื่อนไขที่ดีในการทำธุรกรรมของงานด้านไอบี
"ยกตัวอย่าง เมื่อก่อนหุ้น XXX มี mkt cap 3-4 แสนล้านบาท ปัจจุบัน เหลือ 6 หมื่นล้านบาท สินทรัพย์เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม การกู้เงินแบงก์ เท่ากับหาเศษเงินมาซื้อกิจการที่ดีที่นักลงทุนในตลาดหุ้นไม่ให้ความสนใจ และมีต้นทุนดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ ประกอบกับ ป้องกันไม่ให้นักลงทุนมาดูถูกหุ้นว่าเป็นบริษัทด้อยค่าเหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้"นอกจากนี้ หากบริษัทดังกล่าวไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนซ้ำๆ ก็เท่ากับว่าการอยู่ในตลาดถือเป็น "ภาระ" และมีต้นทุนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
"เมื่อก่อนการเพิ่มทุนจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่ากู้แบงก์ แต่ปัจจุบันการกู้แบงก์ถูกกว่า ฉะนั้นการระดมทุนผ่านตลาดไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป"ปัจจุบัน ตลาดหุ้นมีบริษัทจดทะเบียนมากถึง 800-900 บริษัท เราสามารถถอนบริษัทออกนอกตลาดได้มากถึง 100 บริษัทต่อปี
ในขณะที่ปี 2569 อุตสาหกรรมไอบีมีศักยภาพในการนำบริษัทเข้ามาระดมทุนไอพีโอได้เพียงแค่ 5-6 บริษัทเท่านั้น ฉะนั้น การนำหุ้น delist น่าจะเป็นทางเลือกที่ทำให้โบรกเกอร์อยู่รอดได้มากกว่า
หลังจากนั้นก็ให้โบรกเกอร์ไปออกตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) ที่ซื้อขายได้ในตลาดหุ้นไทย เหมือนหุ้นตัวหนึ่ง โดยไม่ต้องไปเปิดพอร์ตหรือนำเงินไปลงทุนต่างประเทศเองแทน เพราะตอนนี้ทุกคนหันไปหากินแบบง่ายๆ คือ เอาหุ้นต่างประเทศมาแปลงเป็น DR ซึ่งปัจจุบันวอลุ่มเทรด DR (ที่มีมากเกือบ 200 ตัว) รายวันสูงกว่าวอลุ่มเทรดรายวันของหุ้นในตลาด mai บางวันสูงเกิน 3-4 เท่าตัว
ในยุคไอพีโอฝืดหนัก โดยในช่วง 9 เดือนจากนี้ไป ส่งผลให้ธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB) ของโบรกเกอร์ที่พึ่งพาค่าธรรมเนียม IPO เสี่ยงรายได้หด หากไม่ปรับตัวอาจต้องลดคน
ทางรอดคือหันทำธุรกรรมอื่น เช่น แนะนำบริษัทจดทะเบียนที่หุ้นต่ำกว่ามูลค่าบัญชี ปันผลสูง กระแสเงินสดแข็งแกร่ง และไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน ให้ ถอนหุ้นออกจากตลาด (Delist) แทนการระดมทุน
เรามาอยู่ในยุคที่ "ไอพีโอ" ไม่ใช่ทางรอด โบรกเกอร์ที่อยู่ได้ คือคนที่กล้าพาหุ้นออกจากตลาด และพานักลงทุนไปหาโอกาสใหม่ อย่าง DR ถือเป็นการปรับตัวที่โบรกเกอร์ต้องรีบกระทำโดยด่วน
ธิติ ภัทรยลรดี