ตลาดหุ้นไทยปี 2568 เผชิญมรสุมความผันผวนอย่างรุนแรงจากปัจจัยรุมเร้าหลายด้าน ทั้งเหตุการณ์ลักพาตัวดาราชาวจีน แผ่นดินไหว และข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาที่ล่าสุดทำข้อตกลงหยุดยิง รวมทั้งนโยบายกำแพงภาษีศุลกากรตอบโต้จากสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บสูงถึง 36% ก่อนเจรจาปรับลดลงเหลือ 19% ส่งผลให้ดัชนีทรุดตัวลงทำจุดต่ำสุดที่ 1,062.78 จุดในช่วงกลางปี สอดคล้องกับสภาวะการระดมทุน IPO ที่ซบเซาทั้งมูลค่าการระดมทุนและจำนวนบริษัท และแรงขายสุทธิจากต่างชาติที่ยังคงมีต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวงการตลาดทุน ทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้เร่งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อออกมาตรการยกระดับมาตรฐานและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างเต็มกำลัง
แนวโน้มในปี 2569 ถูกคาดหมายว่า SET จะก้าวเข้าสู่ "ปีแห่งการฟื้นตัว" แรงส่งสำคัญจากเสถียรภาพทางการเมืองที่จะชัดเจนขึ้นหลังการเลือกตั้งใหญ่ต้นปี ผสานกับการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคท่องเที่ยว และวงจรดอกเบี้ยขาลงที่จะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากการลงทุนในกลุ่ม New S-Curve โดยเฉพาะ Data Center จะช่วยผลักดันให้ภาพรวมของตลาดทุนไทยกลับมามีความน่าสนใจอีกครั้ง
โบรกเกอร์ เป้าหมายดัชนีปี 69 มุมมองสำคัญ
กรุงศรี 1,475 ฟื้นตัวแรงตามเงินหยวนและนโยบายการเงินสหรัฐฯ
บัวหลวง 1,440 รับอานิสงส์การเลือกตั้งและวัฏจักรสะสมสินค้าใหม่
ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล 1,400 การฟื้นตัวของภาคบริการและการท่องเที่ยว
ฟิลลิป 1,440 "Pre-election Rally" และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณรัฐ
ทิสโก้ 1,388 เน้นหุ้นปลอดภัยและปันผลสูงในภาวะดอกเบี้ยต่ำ
กรุงไทย เอ็กซ์สปริง 1,385 การเมืองชัดเจนขึ้นช่วยหนุนความเชื่อมั่น
กสิกรไทย 1,380 การ Rotate เงินลงทุนเข้าสู่กลุ่ม Value Play
ฟินันเซียไซรัส 1,380 เปลี่ยนสภาพเป็น Dividend Play มากขึ้น
นางสาวชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 69 มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้จากความคาดหวังนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ แต่จะต้องติดตามผลการเลือกตั้งในช่วงต้นปี รวมทั้งทิศทางการเร่งผลักดันนโยบายเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ
ดัชนี SET ช่วงต้นปี 69 คาดปรับตัวขึ้นมาตอบรับการเลือกตั้ง ซึ่งตามสถิติก่อนและหลังการเลือกตั้ง 1 เดือน ดัชนี SET จะขึ้นมาได้ราว 2% แต่หลังจากนั้นอาจพักตัวรอติดตามผลการจัดตั้งรัฐบาล การผลักดันนโยบาย และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ โดยประเมินว่าครึ่งปีหลังดัชนี SET มีลุ้นปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าครึ่งปีแรก
หลายสำนักมองว่าในปี 69 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลงจากปี 68 หรือเติบโตได้ต่ำกว่า 2% แต่ยังมีแรงหนุนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดจะฟื้นตัวมาที่ 35 ล้านคน จากปี 68 ที่ยังต้องลุ้นว่าจะถึง 33 ล้านคนหรือไม่ นอกจากนี้ นโยบายการเงินผ่อนคลายจะช่วยประคองอุปสงค์ในประเทศ และการบริโภค รวมถึงการลงทุนภาคเอกชน ประเมินว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งช่วงต้นปี ส่วนครึ่งหลังปี 69 เบื้องต้นประเมินว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ ไม่ยืดเยื้อ และจะเห็นการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาส 3/69
ขณะที่การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) คาดว่าจะเห็นการเติบโตราว 6% จากปี 68 EPS อยู่ที่ระดับ 13 บาท P/E 15 เท่าได้ โดยให้เป้าหมาย SET Index ปี 69 ที่ 1,440 จุด
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก อาทิ ความผันผวนจากเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยทั้งการค้าและท่องเที่ยว, การเคลื่อนย้ายเงินทุน, ทิศทางนโยบายของสหรัฐ โดยเฉพาะการเจรจาภาษีการค้ากับไทยที่ยังปิดดีลไม่ได้ เกี่ยวโยงถึงปัญหาความขัดแย้งไทยและกัมพูชา ซึ่งเป็นความเสี่ยงค่อนข้างมากของตลาดหุ้นไทย รวมทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย
ส่วนประเด็นเงินบาทที่แข็งค่าค่อนข้างเร็ว มองว่าบางกลุ่มได้รับผลกระทบ อาทิ กลุ่มส่งออก ซึ่งนอกจากถูกดดันจากค่าเงินแล้ว การเติบโตของภาคการส่งออกก็คาดว่าจะชะลอตัวจากฐานสูงในปีนี้ที่มีการเร่งส่งออกเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐ ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทค่อนข้างเกินพื้นฐานของเศรษฐกิจ อาจมีจังหวะอ่อนตัวได้บ้างในปีหน้า จึงต้องติดตารมการเข้ามากำกับดูแลค่าเงินบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ธีมการลงทุนปี 69
- ธีมหุ้นท่องเที่ยว บริโภค จากประเมินว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวน่าจะดีขึ้น รวมทั้งได้รับอานิสงส์จากนโยบายภาครัฐ
- ธีมดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มไฟแนนซ์ โรงไฟฟ้า Property
- ธีมลงทุนภาคเอกชน รับอานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง การส่งเสริมการลงทุนจาก BOI การลงทุนของกลุ่ม Data Center
- ธีมปันผล หากดอกเบี้ยปรับลงอีก
แนะเลือกหุ้นงบการเงินแข็งแกร่ง ทำให้ยังสามารถเติบโตได้ในภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง Top Pick หุ้นเด่นตามธีมการลงทุนดังกล่าว ได้แก่
AMATA ได้รับประโยชน์โดยตรงจากแนวโน้มการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากมาตรการส่งเสริมของ BOI และการย้ายฐานการผลิตเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสลงทุน Data Center หนุนยอดขายที่ดินในนิคมฯ โตก้าวกระโดด ต้นทุนทางการเงินลดลงจากดอกเบี้ยขาลงยังเป็นผลบวกด้วย
BA มีเส้นทางบินไปยังแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม โดยเฉพาะ สมุย ได้รับอานิสงส์จาการท่องเที่ยวฟื้นตัว การขยายฝูงบินรองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยหนุนผลงานเติบโตต่อเนื่องในปี 69
GULF แม้จะเป็นหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า แต่เติบโตในหลากหลายธุรกิจ โดยเฉพาะการรุกเข้าสู่ธุรกิจ Data Center ซึ่งเป็นเทรนด์การลงทุนแห่งอนาคต ทำให้เป็นหุ้นที่น่าจับตาในฐานะผู้เล่นสำคัญ รวมทั้งยังได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลงด้วย
SAWAD รับประโยชน์สูงสุดจากดอกเบี้ยขาลงช่วยลดต้นทุนทางการเงิน (Cost of Fund) ส่งผลบวกต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) โดยตรง ประกอบกับ การบริหารจัดการหนี้เสีย (NPL) มีประสิทธิภาพ ถูกนำเข้า SET50 ช่วยดึงดูดนักลงทุนสถาบัน
TISCO โดดเด่นในฐานะหุ้นปันผลสูง-สม่ำเสมอ น่าสนใจอย่างยิ่งในภาวะดอกเบี้ยต่ำ นอกจาก ยังมีการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์แข็งแกร่ง NPL ต่ำที่สุดในกลุ่มแบงก์ พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อที่ไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาลงมากเท่าสินเชื่อประเภทอื่น เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่ดี
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน (บลป.) เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า ประเมินเป้าหมายดัชนี SET ในปี 69 ที่ 1,380 จุด
ในช่วงเดือนม.ค.น่าจะเกิดปรากฎการณ์ Pre-election Rally หนุนให้ขึ้นไปใกล้บริเวณ 1,300 จุดได้ ถัดมาเป็นการลุ้นผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาล หากเกิดขึ้นได้เร็ว ไม่ยืดเยื้อ คาดว่าดัชนี SET จะสามารถขึ้นไปได้อย่างต่อเรื่อง ส่วนช่วงที่เหลือของปีคาดหวังมาตรการจากภาครัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตได้แม้อาจจะไม่มากนัก
อีกประเด็นที่เป็นปัจจัยหนุน คือเทรนด์ Rotate จากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมายังกลุ่ม Valua Play ปัจจัยที่จะทำให้เกิดการ Rotate คือการเติบโตของกำไรของกลุ่มเทคฯ ที่อาจต่ำกว่าตลาดคาด อาจทำให้มีแรงขายออกมาและเม็ดเงินจะไหลเข้ากลุ่ม Value Play โดยตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะได้ประโยชน์
ปัจจัยต่างประเทศ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 69 คาดเติบโตใกล้เคียงกับปี 68 แนะระมัดระวังหุ้นเทคฯ AI เนื่องจากมีความคาดหวังด้านการเติบโตค่อนข้างมาก หากผิดคาดมีโอกาสเจอแรงขาย ซึ่งจะกดดันหุ้น DELTA แต่เม็ดเงินที่ออกจากหุ้น DELTA ก็จะไหลเข้ากลุ่มอื่น ๆ ได้เช่นเดียวกัน และหากมีการ Rotate ไปเรื่อย ๆ DELTA ก็จะทยอยลดอิทธิพลต่อ SET
ส่วนเงินบาทที่แข็งค่านั้น มองว่าไม่ได้มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ บจ.โดยรวม แต่อาจกระทบมากกับกลุ่มส่งออก หรือบริษัทที่มีรายได้เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐบ้าง อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่มีหนี้ต่างประเทศจะได้อานิสงส์จาก FX Gain
นายพิริยพล คงวาณิช นักกลยุทธ์ปัจจัยพื้นฐาน ฝ่าย Wealth Research บล.บัวหลวง มองว่า ตลาดทุนปี 69 จะทยอยฟื้นตัวได้หลังเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 3-4/68 กดดันจากการค้าโลกที่อาจชะลอสะท้อนผลกระทบมาตรการภาษีทรัมป์ ทั้งคำสั่งซื้อล่วงหน้า (front-loaded demand) ที่แผ่ว และการระบายสินค้าคงคลังรอบใหญ่ (major inventory correction) กดดันภาคการส่งออกของไทย
แรงหนุนตลาดหุ้นไทยในปี 69 คาดมาจาก:
- วัฏจักรสะสมสินค้าคงคลังรอบใหม่ (restocking cycle): คาดหนุนการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมโลก การระบายสินค้าคงคลังรอบใหญ่ (major inventory correction) อาจเห็นชัดในช่วง 1-2 ไตรมาสหลังมาตรการภาษีทรัมป์เริ่มใช้ (อ้างอิงจากสงครามการค้ารอบแรก) อาจกดดันการค้าโลกในช่วงไตรมาส 4/68 ไตรมาส 1/69 แต่จะตามมาด้วยวัฏจักรสะสมสินค้าคงคลังรอบใหม่ในช่วงไตรมาส 2/69 หลังตัวเลขสัดส่วนสินค้าคงคลังต่อคำสั่งซื้อใหม่สหรัฐฯ (US PMI Inventory-to-New Orders) อยู่ใกล้เคียงระดับต่ำสุดในรอบหลายปี (ไม่รวมช่วงวิกฤติ) สอดคล้องกับดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ (Manufacturing PMI) ที่ในอดีตมักทยอยฟื้นตัวหลังอยู่ในวัฏจักรชะลอตัว (down cycle) ต่อเนื่องราว 23 ปี
อีกทั้ง ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ (New order index) ของทั้งสหรัฐฯ และจีน ที่มักเป็นตัวนำ (leading indicator) ของดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ ราว 1-3 ไตรมาส ได้เข้าสู่โซนขยายตัวพร้อมกัน ทั้งสหรัฐฯ และจีนในช่วงปลายไตรมาส 3/68 สะท้อนโอกาสการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมในไตรมาส 2/69
- การลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์: ตัวเลขยื่นขอและอนุมัติ BOI เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 3/67 ถึงในช่วง 9 เดือนแรกปี 68 ทั้งในแง่จำนวนโครงการเพิ่มขึ้นถึง 23% YoY และเงินลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 94% YoY เม็ดเงินลงทุนโดยปกติจะทยอยเข้ามาหลังจากการอนุมัติเฉลี่ยราว 1 ปี คาดจะหนุนการลงทุนภาคเอกชนชัดเจนต่อเนื่องในปี 69-70
- ความต้องการสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI): เช่น ส่วนประกอบเซมิคอนดักเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ คาดยังหนุนการส่งออกกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เติบโตต่อเนื่อง แม้การส่งออกภาพรวมอาจชะลอลง
- มาตรการกระตุ้นตลาดทุนหนุนเม็ดเงินไหลเข้า: หลังคลังเห็นชอบหลักการโครงการออมระยะยาว (TISA) ให้สิทธินำวงเงินการซื้อขายหุ้นมาใช้ลดหย่อนภาษีทางตรงได้ เบื้องต้นภาคเอกชนเสนอสิทธิลดหย่อนภาษีวงเงิน 500,000-1,000,000 บาทต่อราย โดยต้องลงทุนในหุ้นไทยและถือครองตามระยะเวลาที่กำหนด
- นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงจะหนุนเศรษฐกิจเพิ่มเติม: คาด กนง.จะลดดอกเบี้ยในปี 69 เหลือ 1% ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อจำกัด เงินเฟ้อทั่วไปราว -0.2% ในปี 68 และ 0.1% ในปี 69 (เทียบ 0.4% ในปี 67) สอดคล้องกับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในต้นปี 69 ก่อนหยุดเพื่อรอประเมินสถานการณ์ หากเงินเฟ้อชะลอต่อเนื่องเข้าใกล้เป้า longer run ที่ 2% มากขึ้น เฟดมีแนวโน้มจะกลับมาลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 69 หรืออย่างช้าไม่เกินต้นปี 70 เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับเป้าหมายระยะยาวที่ 3%
- การทยอยฟื้นตัวของการท่องเที่ยวยังเป็นแรงส่งให้กับภาพเศรษฐกิจและตลาดหุ้น: การท่องเที่ยวผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/68 จำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/68 ต่อเนื่องไปถึงปี 69 แม้คาดจำนวนนักท่องเที่ยวชะลอตัวจาก 35.5 ล้านคนในปี 67 เหลือ 33.2 ล้านคนในปี 68 แต่คาดจะฟื้นตัวขึ้นราว 34 ล้านคนในปี 69 โดยจะเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น YoY ตั้งแต่ไตรมาส 1/69
- มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐฯ ช่วยพยุงการบริโภค คาดเติบโตต่อเนื่อง แม้ยังอยู่ในระดับต่ำ: มาตรการกระตุ้นฯ/แก้หนี้ทยอยออกมาต่อเนื่องลดแรงกดดันหนี้ครัวเรือนสูง (86.8% ของ GDP ในไตรมาส 2/68) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Quick Big Win ที่ทยอยออกมาตั้งแต่ไตรมาส 4/68 ได้แก่ คนละครึ่งพลัส (งบประมาณ 4.4 หมื่นล้านบาท เริ่มใช้ 29 ต.ค.-31 ธ.ค.68) และมาตรการอื่น ๆ ที่อาจตามมา
อย่างไรก็ดี ประเมินผลประโยชน์จำกัดคาดหนุน GDP ปี 68-69 ได้เพียง 0.1-0.2% และหนุนกำไรหุ้นไทยราว 0.4-0.8% ทั้งนี้ หลังหักงบมาตรการกระตุ้นคนละครึ่งพลัสเฟส 2 ประเมินเหลืองบประมาณเพียง 3.9 หมื่นล้าน คาดจำกัดความสามารถในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่
ความเสี่ยงหลักต่อตลาดหุ้นไทย นำโดย:
1. เศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอกว่าคาด กดดันจากภาคแรงงานของสหรัฐฯ และความเสี่ยงภาคอสังหาฯ ของจีน
2. ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจกลับมารุนแรง
3. เศรษฐกิจในประเทศ อาจยังโดนกดดันจากภาระหนี้ครัวเรือน-หนี้เสียสูง กดดันการบริโภค ความเสี่ยงเสถียรภาพการคลัง หลังหนี้สาธารณะคงค้าง ณ ก.ย.68 คิดเป็น 64.8% ของ GDP แม้ยังอยู่ภายใต้กรอบ 70% แต่อาจเร่งสูงขึ้นอีกหากประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายต่ำกว่าคาด อีกทั้งการตั้งงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องอาจนำไปสู่ความเสี่ยงการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น
4. ความไม่แน่นอนทางการเมืองหากตั้งรัฐบาลล่าช้าอาจกดดันการเบิกจ่ายงบประมาณ ในอดีตมักลดลงจากระดับปกติราว 30-40% ซ้ำเติมกับงบลงทุนที่มีวงเงินน้อยกว่าปีก่อนอยู่แล้ว โดยงบประมาณปี 68/69 อยู่ที่ 3.78 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.7% จากปีก่อน) ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ ลดลง 1% YoY และรายจ่ายลงทุน ลดลง 7.3% YoY