นางสาวนารี อภิเศวตกานต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) แนะ"ซื้อ"หุ้น CPF เนื่องจากเห็นว่าการเข้าซื้อหุ้น CPP ด้วยมูลค่า 66,307 ล้านบาท จำนวน 18,792 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 0.90 ดอลลาร์ฮ่องกง คิดเป็นประมาณ 3.53 บาท/หุ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนหุ้น 74.18% คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากการซื้อกิจการครั้งนี้ราวปลายไตรมาส 1/55
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์พบว่าเป็นไปตามเป้าหมายของ CPF ที่ต้องการรุกลงทุนในต่างประเทศหลังจากตลาดในประเทศเริ่มอิ่มตัว จากราคาเนื่อสัตว์ที่ผันผวนและการรุกตลาดในไทยด้านอาหารแปรรูปและอาหารสำเร็จรูปเป็นหลัก ทั้งนี้ การรุกตลาดในจีนและเวียดนามถือเป็นตลาดใหญ่และสำคัญ แต่มีความกังวลว่าประเทศจีนเป็นตลาดใหญ่อุตสาหกรรมยังไม่มีแผนชัดเจนและ CPF ยังไม่เคยลงทุนเองในจีนจึงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ส่วนเวียดนามไม่น่าเป็นห่วงเพราะเดิมมีการลงทุนอยู่แล้ว
การซื้อกิจการครั้งนี้คาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มกับ CPF อีก 1.5 บาท/หุ้น เนื่องจากหลังรวมงบจาก 2 บริษัทดังกล่าวเข้ามาจะทำให้ยอดขายปี 55 เพิ่มเป็น 340,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% จากการเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากจีนและเวียดนามเป็นหลักที่ยังมีอัตราขยายตัวตามการเติบโตของ GDP
ขณะที่อัตรากำไรคาดว่าจะมีภาพไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากสัดส่วนรายได้หลักทั้งจากเวียดนามและจีนยังคงเป็นกลุ่มอาหารสัตว์เป็นหลัก แต่ทางฝ่ายกังวลถึงการแข่งขันจากจีนมากกว่าเนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์มากกว่า 70% จะอยู่ในกลุ่มที่ผสมเองตามบ้านเป็นหลัก คาดว่าในเวียดนามจะมีสัดส่วนการใช้จากการผลิตของผู้ขายมากขึ้น อีกทั้งการซื้อกิจการครั้งนี้ส่งผลให้บริษัทมีการก่อหนี้ที่มาก และทำให้ดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย ประมาณการกำไร สุทธิเพิ่มเป็น 22,553 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 41% เทียบ YoY
สำหรับ CPP ดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์ในจีนและถือหุ้นใน CPV เวียดนาม โดยธุรกิจหลักเป็นอาหารสัตว์บกในจีนคิดเป็น 95% ของยอดขาย ส่วนที่เหลือจำหน่ายและผลิตมอเตอร์ไซด์ คาร์บูเรเตอร์และอุปกรณ์รถยนต์ สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์จะจำหน่ายภายใต้ชื่อ"เจียไต๋"มีโรงงาน 78 แห่งใน 28 จังหวัดทั่วประเทศจีน มีกำลังการผลิตราว 9 ล้านตัน/ปี ใช้กำลังการผลิตราว 55-60%บริษัทเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์อันดับ 2 ในจีน มีส่วนแบ่งตลาดราว 4% โดย 10 อันดับใหญ่ของผู้ผลิตอาหารสัตว์มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 29% เท่านั้น
CPV ประกอบธุรกิจอาหารสัตว์ทั้งบกและน้ำครบวงจรในเวียดนาม โดยมีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ทั้งอาหารสัตว์บกและน้ำ รวมถึงการเลี้ยงหมู, ไก่ และเพิ่งขยาย ฐานการผลิตในกลุ่มสัตว์น้ำ เมื่อปีที่ผ่านมา กำลังการผลิตสัตว์บก 2.3 ล้านตัน สัตว์น้ำ 0.6 ล้านตัน อาหารแปรรูป 12,000 ตัน/ปี ปัจจุบัน CPF ถือหุ้น CPV อยู่ 29.18% สัดส่วนรายได้จากกลุ่มอาหารสัตว์ (Feed) 56% เป็น อาหารสัตว์บก 80% และสัตว์น้ำ 20% กลุ่มเลี้ยงสัตว์ (Farm) 39% และอาหาร (Food) 5%
ด้าน บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้น CPF มีอัพไซต์ค่อนข้างมากหลังเข้าซื้อกิจการ C.P. Phokpand (CCP)ฮ่องกง โดยจะทำให้ CPF เป็นผู้นำในธุรกิจอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงและแปรรูปอาหารขนาดใหญ่อันดับ ต้นๆ ของโลก ทั้งนี้ การลงทุนหลักของ CPP ในจีนและเวียดนามซึ่งมีการเติบโตสูงมากในด้านความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์
แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2555 เติบโตทันทีจากการรวมงบการเงินของ CCP เข้ามา ซึ่งจะส่งผลให้รายได้รวมในปี 2555 ปรับตัวสูงขึ้นราว 53% YoY นอกจากนี้ คาดว่า EBITDA ปี 2555 ของ CPF จะปรับตัวสูงขึ้นถึง 50% YoY เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ เราคาดว่าการออกหุ้นกู้มูลค่าราว 4 หมื่นล้านบาทภายใต้สมมติฐานอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 5.5% จึงส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายในปี 2555 ของ CPF จะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 2 เท่าตัว
แต่ก็ยังทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2555 เติบโตถึง 39% YoY มาสู่ระดับ 22,249 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับการเติบโตที่ก้าวกระโดดอย่างน่าประทับใจ หรือคิดเป็น EPS ปี 2555 เท่ากับ 3.03 บาท (Fully diluted) ดังนั้น หากธุรกรรมการเข้าซื้อกิจการได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นในวันที่ 18 ม.ค. 55 และคาดว่าขั้นตอนการซื้อกิจการจะแล้วเสร็จในเดือนมี.ค.55 ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ปี 2555 เท่ากับ 45 บาท อิง PER 15 เท่า
อย่างไรก็ตาม โดยปกติค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาทางการเงินในการเข้าซื้อกิจการจะคิดเป็นสัดส่วนราว 2-3% ของมูลค่ากิจการที่เข้าไปซื้อ ในดีลนี้ค่าใช้จ่ายอาจจะสูงเกิน 500 ล้านบาท (เทียบจากมูลค่าสิ่งตอบแทนที่จ่ายไป) และอาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงกดดันแนวโน้มกำไรสุทธิในช่วง 1H55 แต่คาดว่า CPF น่าจะสามารถบันทึกค่าใช้จ่ายบางส่วนเป็นสินทรัพย์ถาวรได้ ซึ่งน่าจะช่วยคลายความกังวลไปได้บ้าง ส่วนบทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุว่า เม็ดเงินที่ไปใช้ซื้อ CPP ในสัดส่วน 31.4% (20.8 พันล้านบาท) มาจากการออกหุ้นเพิ่มทุน 694 ล้านหุ้นและในสัดส่วนที่เหลือ 68.6% (45.5 พันล้านบาท) ส่วนใหญ่จะมาจากการก่อหนี้ และบางส่วนเป็นเงินสด
ข้อดีของการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้คือ CPF จะกลายเป็นอันดับหนึ่งในเอเชียในธุรกิจประเภทปศุสัตว์และธุรกิจสัตว์น้ำซึ่งดำเนินธุรกิจใน 12 ประเทศ เราคาดว่ารายได้ใน 55 จะมีสัดส่วนมาจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 50% เทียบกับปี 54 ที่ 26% หากมีสมมุติฐานว่ารายได้ของ CPP เติบโต 15% ต่อปี (รวม CPV ด้วย) ก็จะทำให้รายได้ CPF ในปี 55 เติบโต 46% เป็น 322.3 พันล้านบาท หากการควบรวมกิจการเริ่มต้น มี.ค.55 แม้ว่าค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะสูงขึ้น 1.8 พันล้านบาทต่อปี และ dilution effect ที่เกิดขึ้น 9.4%
ทั้งนี้ เราคาดว่ากำไรสุทธิต่อหุ้นปี 55 ก็ยังเติบโต 17% เป็น 2.9 บาท และกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 56 เติบโตเพิ่มเป็น 20% เป็น 3.48 บาท เมื่อมีการควบรวมกับ CPP เต็มปี และได้รับผลบวกจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของ CPP
ดังนั้น คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานกำหนดไว้ให้สูงขึ้นเป็น 42 บาท อันเป็นผลพวงจากการปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิปี 55 และ 56 ในอัตรา 17% และ 21% ตามลำดับ หลังเข้าซื้อ CPP และประเมินมูลค่าหุ้นด้วย P/E ปี 55 ที่ 14.5 เท่า