นายสันติ ธารเสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์ ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจในเอเชีย (Non-Japan) จาก Credit Suisse AG มองว่า ในปี 55 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงมาที่ 2.50% จาก 3.25% ในปัจจุบัน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เพราะเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศทั้งในยุโรปและสหรัฐ รวมถึงผลกระทบจากวิกฤติการณ์น้ำท่วม ทำให้การบริโภคในประเทศเกิดปัญหา
ประกอบกับการลงทุนของประเทศก็อยู่ในภาวะชะลอตัวมานาน โดยไม่มีการลงทุนใหม่ตั้งแต่ปี 40 หรือคิดเป็น 22% ของจีดีพี ต่างจากอดีตที่มีการลงทุนจะมีสัดส่วน 5-6% ของจีดีพี ดังนั้น การที่จีดีพีจะเติบโตเหมือนในอดีตที่เติบโต 5-6% ควรจะต้องมีการลงทุนในสัดส่วน 30%
"คงเป็นไปได้ยากที่จีดีพี จะฟื้นตัวตามที่แบงก์ชาติคาดการณ์ไว้ที่จะเห็นที่ 4.8% จากปัญหาเศรษฐกิจโลก และเรายังโดนปัญหาน้ำท่วม ทำให้การเติบโตอาจจะไม่ดี" นายสันติ กล่าวอย่างไรก็ตาม จากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้การเติบโตของจีดีพีที่มาจากการบริโภคในประเทศจะปรับเปลี่ยนมาเป็นการเติบโตจากการลงทุนโดยมีภาครัฐเป็นผู้นำ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน และแนะให้ภาครัฐควรใช้นโยบายการเงินการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น
ด้านนายชัยเกษม วัฒนศิริพงษ์ หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายกองทุน บลจ.อเบอร์ดีน เปิดเผยว่าในปีหน้าบริษัทยังให้ความสำคัญการขยายกองทุนรวมที่ปัจจุบันมีสัดส่วน 80% ของสินทรัพย์ที่บริหาร (AUM) และ 20% เป็นการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจากความต้องการในการลงทุนยังมีอยุ่ค่อนข้างสูง โดยจะเน้นช่องทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบัน AUM สิ้นพ.ย. 54 มีประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ในปี 55 จะเน้นในลักษณะแบบ Pool Fund จากปัจจุบันเป็นรูปแบบลงทุนแบบ Single Fund ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้า 2-3 รายที่เป็นบริษัทข้ามชาติ
และในปี 55 จะออกกองทุนใหม่ 1 กองทุนเป็นกองทุนลงทุนต่างประเทศ เน้นตลาดเอเชีย และ ตลาดเกิดใหม่