KK คาดควบรวมกิจการ PHATRA แล้วเสร็จปลาย Q2-ต้น Q3/55

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 9, 2011 17:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ผู้บริหารคาดดีลควบรวมกิจการระหว่างธนาคารเกียรตินาคิน (KK) และ บมจ.ทุนภัทร (PHATRA) จะแล้วเสร็จได้ในปลายไตรมาส 2/55 ถึงต้นไตรมาส 3/55 พร้อมรองรับการแข่งขันภายใต้การเปิดเสรีอาเซียน โดยตั้งเป้าเป็นผู้นำธุรกิจเฉพาะด้าน ทั้งธนาคารพาณิชย์ หลักทรัพย์และตลาดทุน (Speceslized Commercial and Investment Bank) อีกทั้งเพิ่มความสามารถทำกำไรและรายได้สูงขึ้น และดันส่วนแบ่งตลาดธุรกิจหลักทรัพย์เพิ่มเป็นกว่า 5% ขณะที่ฐานทุนแข็งแกร่งสามารถขยายลูกค้า และออกผลิตภัณฑ์ใหม่ได้หลากหลาย

นายสุพล วัธนเวคิน ประธานกรรมการ KK คาด กระบวนการควบรวมกิจการกับ PHATRAจะแล้วเสร็จได้ในปลายไตรมาส 2/55 ถึงต้นไตรมาส 3/55 หลังจากวันนี้ทั้งสองแห่งได้ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกิจการกันด้วยการแลกหุ้นทั้งหมดในอัตราส่วนเท่ากับ 1 หุ้นสามัญของ PHATRA ต่อ 0.9135 หุ้นสามัญของ KK

ทั้งนี้ KK คาดว่าจะสามารถทำคำเสนอซื้อหุ้น PHATRA และเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนได้ประมาณไตรมาส 2/55

"หลังควบรวม จะทำให้เราเป็นผู้นำธุรกิจที่มี Speceslized Commercial and Investment Bank...จะสามารถแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ สถาบันการเงินต่างประเทศ ธุรกิจไม่ได้แข่งกันด้วยขนาด แต่แข่งกันที่ความสามารถในการสร้างความสำเร็จให้กับลูกค้าได้"นายสุพล กล่าวในงานแถลงข่าว

นายสุพล ยังกล่าวว่า เมื่อควบรวมกันแล้วจะทำให้ KK มีขนาดเงินกองทุนขั้นที่ 1 สูงสุด เพื่อรองรับการทำธุรกิจที่หลากหลายขึ้น และขณะนี้ธนาคารยังไม่มีแผนเข้าซื้อกิจการสถาบันการเงินอื่นเพิ่มเติมอีก แต่ในอนาคคตอาจะเปลี่ยนแปลงได้

ด้านนายธวัชชัย สุทธิกิจพิศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ KK กล่าวว่า ธนราคาจะได้ประโยชน์จากการร่วมกิจการและการร่วมบริหารงานที่สนับสนุนธุรกิจได้แก่ ธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล ซึ่งปัจจุบัน บล.ภัทร มีพอร์ตส่วนบุคคล 1.8 แสนล้านบาท ส่วน KK มี 3-4 หมื่นล้านบาท , ธุรกิจสินเชื่อ KK สามารถขยายสินเชื่อกิจการขนาดใหญ่ได้มากขึ้น, ธุรกิจการลงทุน KK มีฐานเงินลงทุน ขณะที่ PHATRA มีธุรกิจการลงทุนในหุ้น ซึ่งจะทำให้ฐานทุนของธนาคารใหญ่ขึ้นรองรับการลงทุนธุรกิจของลูกค้าในตลาดและนอกตลาด

และธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งเบื้องต้นเมื่อรวมกับบล.ภัทร และ บล.เกียรตินาคิน จะมีส่วนแบ่งตลาดกว่า 5% ขึ้นเป็นอันดับ 2 โดยดำเนินการภายใต้กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคิน-ภัทร และไม่มีการยุบรวมกันเป็นบริษัทหลักทรัพย์เดียวกัน โดยบล.เกียรตินาคินเน้นลูกค้ารายย่อย ขณะที่บล.ภัทร เน้นลูกค้าสถาบัน

นอกจากนี้การควบรวมครั้งนี้จะทำให้มูลค่าตลาดรวม(Market Cap) เพิ่มขึ้น 31% เป็น 3 หมื่นล้านบาทจากปัจจุบัน 2.3 หมื่นล้านบาท รวมทั้ง กำไรและรายได้ของธนาคารเพิ่มขึ้น และธนาคารจะมีความสามารถทำรายได้และทำกำไรได้เทียบเคียงกับคู่แข่ง ได้แก่ บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) บมจ.ทุนธนชาต(TCAP)

*คาด KK ออกหุ้นใหม่ไม่เกิน 200 ล้านหุ้น

นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PHATRA กล่าวว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้เป็นการทำรายการแลกหุ้น โดยคาดว่า KK จะออกหุ้นสามัญใหม่ไม่เกิน 200 ล้านหุ้น หรือไม่เกิน 23.7%ของทุนจดทะเบียน 210.3 ล้านหุ้น บนสมมติฐานที่มีการแลกหุ้นระหว่างกัน 100% หรือเทียบเท่ามูลค่าประมาณ 7.3 พันล้านบาท (คิดเทียบกับจากราคาปิดวานนี้)

"คิดง่ายๆว่ามูลค่าควบรวมเกียรตินาคินได้หุ้น 3 ส่วน ภัทรได้หุ้น 1 ส่วน...การควบรวมกันไม่มีการจ่าย Premium ให้กับผู้ถือหุ้น แต่ 2 ฝ่ายจะได้รับประโยชน์จากการรวมกันและทำให้เติบโต" นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ PHATRA กล่าวเสริม

ทั้งนี้ หลังการควบรวม กลุ่มวัธนเวคิน จะถือหุ้นลดลง 23.8% จาก 30% กลุ่ม RPIC ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งถือหุ้นโดยพนักงานและกรรมการของ PHATRA จะมีสัดส่วนหุ้นใน KK จำนวน 8.7% จากที่ถือใน PHATRA เท่ากับ 37.3% และผู้บริหารของ PHATRA ที่ถือหุ้นโดยตรงจะเข้ามาถือหุ้นใน KK จำนวน 1.7% จากที่ถือใน PHATRA เท่ากับ 7.3% ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้น KK จะมีผล dilution 23.2% โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ข้างต้นทั้งสองฝ่ายจะถือหุ้นต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปี และคาดว่าในช่วงดังกล่าวมูลค่ากิจการจะดีขึ้น

นอกจากนี้ ในส่วนโครงสร้างหลักจะโอนกิจการ บล.เกียรตินาคิน และ บลจ.เกียรตินาคิน ให้ทุนภัทรเป็นฝ่ายดูแลธุรกิจหลักทรัพย์และตลาดทุน นอกเหนือ บล.ภัทร ส่วนธุรกิจธนาคารพาณิชย์ จะอยู่ภายใต้บริษัท กฎหมายเอราวัณ จำกัด ซึ่ง KK ถือหุ้น 99.99%

จากวันนี้ที่มีการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกั้นแล้ว ขั้นตอนจากนี้ไปต่างฝ่ายจะเข้าไปตรวจสอบสถานะการเงิน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน หรือประมาณ ก.พ. 55 จะได้ข้อตกลง และเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการแต่ละบริษัทเพื่ออนุมัติแผนการร่วมกิจการ และเรียกประชุมผู้ถือหุ้น

ทั้งนี้ KK จะขออนุมัติเพิ่มทุนเพื่อเข้าทำรายการแลกหุ้นกับ PHATRA ขณะที่ PHATRA จะอนุมติในการเข้าควบรวมกิจการกับ KK และเพิกถอนหลักทรัพย์จากการเป็นบริษัทจดทะเบียน เมื่อได้ผลแล้วจะนำไปให้หน่วยงานที่เกียวข้องทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) จากนั้น KK จะประกาศทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ PHATRA

นายบรรยง กล่าวว่า ได้มีการติดต่อกับ KK เรื่องการควบรวมเมื่อปลายก.ย. 54 ที่ผ่านมา มีทั้งฝ่ายวิเคราะห์ และการตรวจสอบสถานะการเงินเบื้องต้น และหารือกับทางการอย่างไม่เป็นทางการ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ