(เพิ่มเติม) OISHI คาด รง.นวนครเดินเครื่อง 60%ได้มี.ค.55,ตั้งเป้ายอดขายปีหน้าโต 25%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 14, 2011 14:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายแมทธิว กิจโอธาน กรรมการผู้จัดการ บมจ.โออิชิ กรุ๊ป (OISHI)เปิดเผยว่า โรงงานของบริษัทที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมนวนครจะกลับมาเดินเครื่องผลิตอีกครั้งในเดือน มี.ค.55 เบื้องต้นจะมีกำลังผลิตที่ 60% จากกำลังการผลิตทั้งหมด 64 ล้านบรรจุภัณฑ์/เดือน แบ่งเป็นเครื่องดื่มแบบขวด 30 ล้านขวด/เดือน และแบบกล่อง 34 ล้านกล่อง/เดือน และคาดว่าจะกลับมาผลิตเต็มที่ได้ตามปกติภายในเดือน ส.ค.55

โรงงานของบริษัทที่นิคมฯ นวนครได้หยุดเดินเครื่องผลิตมาตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.54 หลังจากถูกน้ำท่วมอย่างหนัก แต่ขณะนี้สถานการณ์กลับมาสู่ปกติแล้ว บริษัทจึงเริ่มเดินหน้าฟื้นฟูสภาพโรงงานเพื่อให้สามารถกลับมาทำการผลิตตามปกติ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบประมาณในการฟื้นฟูไม่ต่ำกว่า 2.8 พันล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อเครื่องจักรใหม่เพื่อผลิตชาเขียวกว่า 2 พันล้านบาท และซ่อมแซมครัวกลางกว่า 600 ล้านบาท ที่เหลือใช้ซ่อมแซมในส่วนอื่นๆ

นายแมทธิว กล่าวว่า บริษัทจะจัดซื้อเครื่องจักรใหม่เพื่อทดแทนเครื่องจักรที่ถูกน้ำท่วมทั้งหมด โดยจะไม่มีการนำเครื่องจักรไปซ่อมแซมแล้วกลับมาใช้งานอีก เนื่องจากคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค อีกทั้งต้นทุนในการซ่อมแซมสูงกว่าการซื้อเครื่องจักรใหม่อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการทำประกันภัยครอบคลุมค่าเสียหายทั้งหมดไว้แล้ว โดยมีวงเงินประกันกว่า 4 พันล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทประกันภัย คาดว่าอาจจะเรียกเงินชดเชยความเสียหายได้ทั้งหมด

พร้อมกันนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาขยายโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร เพื่อกระจายความเสี่ยง

นายแมททิว คาดว่า กำลังผลิตที่หายไปในช่วงน้ำท่วม จะส่งผลให้ยอดขายรวมของบริษัทในช่วงไตรมาส 4/54 หายไปกว่า 1.4 พันล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายเครื่องดื่มประมาณ 1 พันล้านบาท และยอดขายอาหารกว่า 400 ล้านบาท ดังนั้นจะส่งผลให้ยอดขายทั้งปี 54 ต่ำกว่าเป้า โดยลดลงมาอยู่ที่เกือบ 1 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายในปีนี้ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท

ส่วนในปี 55 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต 25% ซึ่งแผนการตลาดจะเน้น 3 ส่วน คือ การฟื้นฟูผลิตภัณฑ์ชาเขียวให้กลับมาผลิตและจำหน่ายได้ตามปกติ จากปัจจุบันที่เหลือเพียงการผลิตที่โรงงานในนิคมฯอมตะนครเพียงแห่งเดียว กำลังผลิต 25 ล้านขวด/เดือน ทำให้บริษัทต้องเตรียมจัดหาผู้ผลิตแบบ outsources จากต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสิงคโปร์ ซึ่งมีมาตรฐานการผลิตเช่นเดียวกับบริษัทให้มาผลิตชาเขียวเพื่อทดแทนกำลังผลิตที่หายไป คาดว่าวันที่ 23 ม.ค.55 จะเริ่มมีสินค้าจาก outsources เข้ามาจำหน่าย

อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทต้องจ้าง outsources ต่างประเทศมาผลิตสินค้าให้ จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% ซึ่งบริษัทยืนยันว่าจะไม่มีการปรับขึ้นราคาสินค้าในเร็วๆนี้

ส่วนที่ 2 คือ การขยายตลาดผลิตภัณฑ์"ชาคูซ่า" ให้มากขึ้นหลังปัจจุบันได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นการรุกเข้าสู่ตลาดน้ำอัดลมซึ่งมีมูลค่าตลาดมากกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 10% หรือ 3.5 พันล้านบาทในอีก 2-3 ปี

และส่วนสุดท้ายคือ การทำตลาดในช่วงหน้าร้อนที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจเครื่องดื่ม โดยปีหน้าบริษัทเตรียมออกแคมเปญหน้าร้อนยิ่งใหญ่และพิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งได้เพิ่มงบการตลาดอีก 15% จาก 600 ล้านบาทในปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ