สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 51,116 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดของวัน คือ พันธบัตร ธปท. มีมูลค่าการซื้อขาย 45,611 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 89% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้
สำหรับประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายเป็นลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่า 4,987 ล้านบาท โดยพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุคงเหลือประมาณ 2 ปี และ 6 ปี (LB133A LB176A และ LB17OA) เป็นที่นิยมซื้อขายสูงสุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 2,597 ล้านบาท หรือคิดเป็น 52% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายรวม 373 ล้านบาท โดยหุ้นกู้ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือ หุ้นกู้ของบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) (MAJOR126A) หุ้นกู้ของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN126A) และหุ้นกู้ของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (PTTC17DA) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 250 ล้านบาท หรือคิดเป็น 67% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมด
นักลงทุนกลุ่มกองทุนมีสถานะซื้อสุทธิ 28,606 ล้าน นักลงทุนกลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่มีใบอนุญาตค้าตราสารหนี้มีสถานะซื้อสุทธิ 2,353 ล้านบาท และกลุ่มของนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะขายสุทธิ 320 ล้านบาท
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield) ปรับตัวลดลงเล็กน้อย หรือเฉลี่ยแล้วปรับตัวลดลงประมาณ -1 ถึง -2 Basis Point โดยปัจจัยเรื่องวิกฤหนี้ยุโรได้กลับมาเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกครั้งหลังจากการประชุมสุดยอดผู้นำไม่มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมหนี้ ประกอบกับข่าวว่าสถาบันการเงินในยุโรปหลายแห่งมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งปัจจัยนี้เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในตลาดตราสารหนี้ไทยและตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้
ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุคงเหลือ 3 เดือน ปิดคงที่ที่ 3.16% และอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุคงเหลือ 5 ปี ปิดที่ 3.06% ปรับตัวลดลง 0.02% จากวันก่อนหน้า