LANNAคาดใช้100ล้านเหรียญปิดดีลซื้อเหมืองฯ,ปี55ขายเพิ่มเป็น5-5.5ล้านตัน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 21, 2011 10:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสีหศักดิ์ อารีราชการัณย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าการเจรจาเข้าซื้อเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 1/55 โดยเหมืองดังกล่าวเป็นเหมืองขนาดใหญ่ ซึ่งประเมินปริมาณสำรองราว 200-300 ล้านตัน

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะเข้าพบผู้บริหารเหมืองเพื่อเจรจาในช่วงต้นเดือน ม.ค.55 หลังจากมีความชัดเจนแล้วก็จะเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขาย หลังจากนั้นจะมีการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกและคาดว่าภายในไตรมาส 4/55 จะสามารถปิดดีลนี้ได้ โดยจะได้สัมปทานการทำเหมืองเป็นเวลา 30 ปี ในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนในการเข้าซื้อเหมืองดังกล่าวสูงกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม เท่าที่สำรวจข้อมูลในด้านต่าง ๆ ของเหมืองแห่งนี้ พบว่ายังปัญหาด้านโลจิสติกส์ในการขนย้ายถ่านหินออกจากเหมือง และปัญการเมืองระหว่างรัฐบาลกลาง และรัฐบาลท้องถิ่นซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองมานาน

"เท่าที่ไปดูเหมืองมีถ่านหิน คิดว่าจบดีลได้ในปีนี้แต่มีความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับเจ้าของเหมือง ตอนนี้รอ clean and clear ของรัฐบาลกลาง..เราคิดว่า 5 มกราคมจะไปพบกับเจ้าของเหมือง ก็น่าจะมีความชัดเจนในไตรมาสหนึ่งปีหน้า ทำสัญญาจะซื้อจะขายก่อนแล้วเจาะข้อมูลลึกคิดว่าใช้เวลา 7-8 เดือน คาดว่าจะซื้อได้ปลายปีหรือไตรมาส 4/55"นายสีหศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจาเข้าซื้อเหมืองขนาดเล็กอีกประมาณ 2-3 แห่ง

ปัจจุบัน LANNA มี 2 เหมือง ได้แก่ เหมือง LHI มีอายุสัมปทานเหลือ 19 ปี และเหมือง SGP มีอายุสัมปทานเหลือ 28 ปี

*ปี 55 ยอดขายเพิ่มเป็น 5.0-5.5 ล้านตัน

นายสีหศักดิ์ คาดว่า ในปี 55 บริษัทจะผลิตและขายถ่านหินเพิ่มเป็นจำนวน 5.0-5.5 ล้านตัน จากปีนี้ที่คาดว่าจะผลิตและขายได้ประมาณ 4.4-4.5 ล้านตัน ซึ่งสูงกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 4 ล้านตัน โดยยอดขายในปีหน้าจะเป็นถ่านหินจากเหมือง LHI จำนวน 3 ล้านตัน จากปีนี้ 2.8 ล้านตัน และเหมือง SGP จำนวน 2.0-2.5 ล้านตัน จากปีก่อน 1.6-1.7 ล้านตัน

ทั้งนี้ ราคาขายถ่านหินปี 55 ได้ขายล่วงหน้าแล้ว 50% ซึ่งได้ราคาดีกว่าราคาปัจจุบัน

ขณะที่คาดว่าราคาถ่านหินในปี 55 จะปรับลดลงมาประมาณ 5% จากปีนี้เดิมเคยคาดว่าจะปรับขึ้น 5% เนื่องจากปัจจัยความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกถดถอย โดยราคาถ่านหินในช่วงไตรมาส 1-2/55 น่าจะยังทรงตัว แต่ครึ่งปีหลังจะปรับลดลง ปัจจุบัน ราคาถ่านหินที่มีค่าความร้อน 5,000 กิโลแคลอรี่ อยู่ที่ 70-75 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนราคาถ่านหินนิวคาสเซิส อยู่ที่ 108-110 เหรียญสหรัฐ/ตัน

สำหรับปี 54 นายสีหศักดิ์ มั่นใจว่า บริษัทจะสามารถทำกำไรสุทธิแตะระดับที่ 1 พันล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขกำไรที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาในระยะเวลา 26 ปี โดยในช่วง 9 เดือนแรกบริษัทมีกำไรสุทธิแล้ว 858.41 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.45 บาท

ส่วนในไตรมาส 4/54 คาดว่าจะขายถ่านหินได้ 1.2-1.3 ล้านตัน และราคาขายจะใกล้เคียงกับไตรมาส 3/54 และใกล้เคียงกับราคาเฉลี่ยทั้งปีที่บริษัทขายได้ 2,300 บาท/ตัน หรือคิดเป็นประมาณ 80 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีราคาเฉลี่ย 2,000 บาท/ตัน

ด้านธุรกิจเอทานอลจะยังขาดทุนต่อเนื่อง ทำให้ปี 54 คาดว่าจะขาดทุนจากธุรกิจดังกล่าวประมาณกว่า 20 ล้านบาท แต่ในปี 55 มั่นใจว่าธุรกิจนี้จะฟื้นกลับมามีกำไร เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สำคัญคือกากน้ำตาล(โมลาส)มีราคาต่ำลง ซึ่งบริษัทได้สต็อกโมลาสไว้แล้ว 1 แสนลิตรไว้ใช้ในการผลิตปีหน้า จากปกติที่ใช้อยู่ปีละ 3 แสนลิตร

และในไตรมาส 2/55 โรงงานแห่งที่ 2 จะเริ่มเดินเครื่องหลังจากปรับเครื่องจักรรองรับการใช้โมลาสเป็นวัตถุดิบได้ด้วย จากที่คาดว่าจะใช้มันเส้นเป็นวัตถุดิบ โดยจะเดินเครื่อง 75% ของกำลังการผลิต หรือวันละ 2.5 แสนลิตร ทั้งนี้ต้องติดตามนโยบายของกระทรวงพลังงานเรื่องการยกเลิกการขายน้ำมันเบนซิน 91 ที่จะมีผลบังคับใช้ใน 1 ต.ค.55 ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

นายสีหศักดิ์ กล่าวถึงการรับรู้รายได้กำไรจากการขายหุ้นบมจ.ไทยอะโกร เอ็นเนอร์ยี่ (TAE) ให้กับบมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP)ว่า คงต้องชะลอการรับรู้ฯ ออกไปก่อนจนกว่า BCP จะรับมอบโรงงานผลิตแห่งที่ 2 จากบริษัท เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนการทดสอบกระบวนการผลิต หากเรียบร้อยก็จะเสร็จสิ้นรายการ

อนึ่ง LANNA ได้ขายหุ้น TAE ให้กับ BCP เมื่อไตรมาส 2/54


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ