นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(AUM) ปี 55 เติบโต 11% หรืออยู่ที่ 4 แสนล้านบาท จากสิ้นปี 54 คาดว่ามี AUM ที่ 3.6 แสนล้านบาท โดยในปีหน้าบริษัทมีแผนการออกกองทุนใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทมีความชำนาญ รวมทั้งกองทุนส่วนบุคคลที่คาดว่าปีหน้าจะมีเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์และสถาบันต่างๆเข้ามาเพิ่มขึ้น รวมทั้งหน่วยงานราชการต่างๆก็มีความต้องการให้ทางบลจ.มาช่วยบริหารการลงทุนด้วย และในปีหน้าบริษัทยังได้รับบริหารกองทุนปรับสภาพคล่องและพัฒนาตลาดทุนต่อจากปีนี้ ซึ่งกองทุนดังกล่าวได้เพิ่มวงเงินเป็น 1.32 แสนล้านบาท ซึ่งจะให้บลจ. 3 แห่งซึ่งรวมทั้งบลจ.กรุงไทยเป็นผู้บริหาร จากปีนี้ที่ 3.2 หมื่นล้านบาท
ด้านกองทุนรวมการเติบโตน่าจะทรงตัวจากปีนี้ที่โต 3.89% โดยบริษัทก็จะเน้นเข้าไปรับบริหารให้กับบริษัทหรือหน่วยงานที่มีขนาดเล็กมากขึ้น และการขยายไปในภูมิภาค
"ภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนในปี 54 การเติบโตลดลงเยอะมาก เหตุผลมาจากธนาคารพาณิชย์มีการเร่งระดมเงินฝากตลอดเวลา โดยมีการเสนอดอกเบี้ยที่สูงโดยเฉพาะแบงก์รัฐ ทำให้กองทุนสู๋ไม่ได้ ขณะที่ตราสารหนี้ที่กองทุนจะไม่ลงทุนความน่าสนใจก็มีน้อยลง รวมทั้งยังมีความผันผวนขอวงตลาดหลักทรัพย์ด้วย แต่เราก็ถือว่าโชคดีที่โตกว่าอุตสหากรรมทั้งปีน่าจะโตได้ประมาณ 14% ขึ้นไป อุตสาหกรรมอยู่ที่ 1.1% เท่านั้น"นายสมชัย กล่าวส่วนนายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการผู้บริหาร สายจัดการลงทุน เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 55 โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกจะยังคงมีความผันผวน โดยเฉพาะจากวิฤตหนี้สินในยุโรป ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้เน้นที่ตราสารหนี้ระยะสั้นก่อน เนื่องจากอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาวในขณะนี้อยู่ในระดับต่ำ จากการที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาวอย่างต่อเนื่อง และเมื่อความผันผวนของเศรษฐกิจเริ่มลดลง นักลงทุนก็สามารถลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ลงได้ และหันมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นซึ่งน่าจะเริ่มได้ในช่วงไตรมาส 2-3/55 อย่างไรก็ตามถ้าในช่วงปลายปีหน้า เงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้นอีก นักลงทุนก็ควรกลับมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางถึงระยะยาว
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 55 คาดว่าดัชนีฯจะเคลื่อนไหวในกรอบ 900-1,200 จุด โดยมี P/E อยู่ที่ประมาณ 12 เท่า ใกล้เคียงปีนี้ โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจเข้าไปลงทุนในปีหน้านั้นได้แก่ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ, กลุ่มพาณิชย์ และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่หลายฝ่ายประเมินว่าความต้องการสินเชื่อเพื่อการบริโภคจะลดลงจากผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม แต่อย่างไรก็ตามก็ยังจะมีความต้องการสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูกิจการเข้ามาช่วยชดเชย
ส่วนทองคำก็ถือเป็นอีกสินทรัพย์ที่น่าลงทุน แต่ก็คงระมัดระวังเพราะเชื่อว่าทองคำจะยังคงปีความผันผวนสูง ทั้งนี้ประเมินว่า ราคาทองคำในปี 55 จะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1,400-1,800 ดอลลาร์/ออนซ์
ทั้งนี้นายวีระ ได้แนะนำการจัดพอร์ตลงทุนในปี 55 ไว้ดังนี้ ตราสารหนี้ 40-60% ตลาดหุ้น 20-30% และควรมีทองคำอยู่ในพอร์ตประมาณ 10-20%
ด้านนายสมชัย อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 55 คาดว่าจะเติบโต 4.5% จากปีนี้ที่น่าจะขยายตัวเพียงแค่ 1.8% จากผลกระทบของเหตุการณ์น้ำท่วม ขณะที่เศรษฐกิจโลกก็คาดว่าจะชะลอตัวลงต่อ จากความเสี่ยงหลักเรื่องปัญหาหนี้สินในยูโรโซน ที่ขณะนี้หลายประเทศในยุโรปกำลังใช้มาตรการรัดเข็มขัดจึงเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่สหรัฐฯก็คาดว่าเศรษฐกิจน่าจะเริ่มฟื้นตัวการเติบโตคงอยู่ที่ประมาณ 2% และเศรษฐกิจสหรัฐฯคงไม่เข้าสู่ภาวะถดถ้อนเหมือนอย่างที่หลายฝ่ายกังวลก่อนหน้านี้ แต่การเติบโตของเศรษฐกิจในระดับสูงก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปี 55 จะอยู่ที่ 3.50% จากปัจจุบันที่ 3.25% โดยคาดว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ครั้งต่อไปจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยจะทรงตัวไปจนถึงเกือบสิ้นปี แต่กนง.คงมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 2 ครั้งสุดท้ายของปีหน้า ครั้งละ 0.25% ตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้น รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่น่าจะเริ่มเห็นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง และคาดว่าค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 55 จะอยู่ที่ 30.20 บาท