นายอำพล โพธิ์โลหะกุล ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ในปี 55 บริษัทตั้งเป้าการขยายตัวธุรกิจกองทุน 22% โดยจะมีทรัพย์สินภายใต้การบริหาร(AUM)เพิ่มเป็น 9 แสนล้านบาท จากปี 54 ที่อยู่ในระดับกว่า 7 แสนล้านบาท ถือว่าการตั้งเป้าหมายดังกล่าวสูงกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนที่คาดว่าจะเติบโต 10-15%
บริษัทคาดว่าธุรกิจกองทุน 3 ด้าน คือ กองทุนรวมจะเติบโต 29% กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเติบโต 15% กองทุนส่วนบุคคลเติบโต 10% ซึ่งยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง
"ปี 55 นับเป็นอีกปีที่ท้าทายสำหรับการตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมกองทุน โดยคาดว่าปีนี้อุตสาหกรรมอาจขยายตัว 10-15% ส่วนเป้าหมายการเติบโตของ 3 ธุรกิจกองทุนภายใต้การบริหาร บลจ. กสิกรไทย เราคาดหวังการเติบโตที่สูงกว่าอุตสาหกรรม ซึ่งวางเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 22%"นายอำพล กล่าว
นายอำพล กล่าวต่อว่า การลงทุนในกองทุนรวมมีความได้เปรียบเงินฝากธนาคารพาณิชย์ เพราะไม่ต้องเสียภาษีจากผลประโยชน์ที่ได้รับ ขณะที่การลดการค้ำประกันเงินฝากที่จะมีผลในเดือน ส.ค.นี้จะช่วยให้ลูกค้าสนใจการลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้น นอกจากนี้ การที่มีเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆจากต่างประเทศ เช่น การปกป้องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ให้ผลตอบแทนสูง แต่ลดความเสี่ยงได้ โดยเน้นผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ ก็มีส่วนทำให้กองทุนรวมน่าสนใจเพิ่มขึ้น
ธุรกิจกองทุนรวมที่จะเติบโตในปีนี้มาจากกองทุนประเภทตราสารหนี้ที่ลูกค้ายังให้ความนิยมและสนใจลงทุน ซึ่งกลยุทธ์ยังคงเน้นลูกค้าเดิมและใหม่ โดยเฉพาะลูกค้ากองทุนรวมจากเครือข่ายแบงก์ที่มีความสัมพันธ์ที่ดี ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็จะมีลูกค้าองค์กรที่กองทุนเดิมใกล้จะครบอายุไถ่ถอน บริษัทก็จะเข้าประมูลแข่งกับ บลจ.อื่น ขณะที่กองทุนส่วนบุคคลเน้นที่ความแตกต่างการบริหารเงิน
สำหรับตลาดหุ้นปีนี้มองว่ายังคงมีความผันผวนสูงจากประเด็นหลักคือความกังวลวิกฤติหนี้ยุโรปว่าจะมีทางออกอย่างไร เพราะที่ผ่านมาปัจจัยเรื่องปัญหาหนี้ของยุโรป บางวันเป็นปัจจัยบวกและบางวันก็เป็นปัจจัยลบ จึงต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐแนวโน้มดีขึ้นเริ่มมีเสถียรภาพ ส่วนเศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอลง โดยแนะลงทุนในกองทุนหุ้นที่เน้นลงทุนระยะยาว รวมทั้งกองทุนที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างกองทุน RMF และ LTF
ส่วนเรื่องที่จะมีการเก็บค่าธรรมเนียมจากแบงก์เพิ่มเพื่อนำมาชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับหนี้กองทุนฟื้นฟูฯที่จะเก็บในอัตราที่สูงกว่า 0.4% เป็น 1% ถ้าเพิ่มก็เป็นต้นทุนของแบงก์ ไม่ใช่ลูกค้า ซึ่งขึ้นอยู่กับแบงก์บริหารต้นทุน แบงก์คงแข่งขันสูงเพื่อสร้างฐานเงินฝากให้โตเพื่อสอดรับเศรษฐกิจโตโดยเฉพาะแบงก์เล็ก คงเป็นคู่แข่งกับกองทุนรวมเพราะเป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน
นายอำพล กล่าวถึงการเข้ารับตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร ในครั้งนี้เพื่อเป็นการผนึกกำลังโดยพุ่งเป้าผนึกไปทางสาขาของแบงก์เพื่อแก้ไขอุปสรรคระหว่างสาขาแบงก์กับ บลจ.ที่เคยมีมาก่อนหน้า เพราะผมเคยดูสาขาของแบงก์มาก่อน เข้ามาก็เพื่อที่จะแก้ปัญหาให้ตรงจุดจากเดิมที่ติดขัดบ้าง เพื่อรวมข้อมูลระหว่างแบงก์ให้เป็นฐานเดียวกัน โดยสิ่งที่จะต้องสานต่อให้ได้คือการครองส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง
"โจทย์ที่เราจะสานต่อกันอย่างเข้มข้นในปีนี้คือมุ่งสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจอย่างต่อเนื่องในการบริหารจัดการ รวมถึงการให้บริการผู้ลงทุนของ KAsset เพื่อตอบรับแนวคิดใหม่ มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าคิดบวก เพิ่มทางเลือกการลงทุน ทั้งกลุ่มกองทุนที่มีสไตล์แบบบริหารจัดการแบบ Passive และ Active ทั้งนี้ ภายใต้การบริหารจัดการโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูงผ่านช่องทางการลงทุนที่สะดวกสบาย"นายอำพล กล่าวผลดำเนินงานปี 54 จำแนกเป็นธุรกิจกองทุนรวม(Mutual Fund) เติบโตขึ้นกว่า 50,000 ล้านบาท ยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 อย่างต่อเนื่องด้วยส่วนแบ่งการตลาดกว่า 25% การเติบโตส่วนใหญ่มาจากกองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการ (Fixed Basket Fixed Income Fund-Term Fund)
ในส่วนของกองทุนในกลุ่ม K-Tax Saving Mutual Fund (กองทุน LTF-RMF)มีเม็ดเงินลงทุนใหม่รวม 18,000 ล้านบาท โดยยอดขายเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 9% ทั้งยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(Provident Fund) มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นกว่า 4 หมื่นล้านบาท นับเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด ครองส่วนแบ่งการตลาดได้ถึง 22% โดยเพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งการตลาดในปี 2553 ถึง 6% ด้านกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นกว่า 1 หมื่นล้านบาท และครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10