ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ (22 ก.พ.) หลังจากมาร์กิต อิโคโนมิกส์ รายงานว่า ภาคการผลิตและภาคบริการยูโรโซนหดตัวเหนือความคาดหมายในเดือนก.พ. และจากความกังวลที่ว่ากรีซอาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้ได้
ดัชนี FTSE 100 ปิดลบ 11.65 ดอลลาร์ หรือ 0.2% แตะที่ 5,916.55 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดอ่อนตัวลงหลังจากมาร์กิต อิโคโนมิกส์ รายงานว่า ดัชนี PMI ทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการของยูโรโซนหดตัวลงสู่ระดับ 49.7 จุดในเดือนก.พ. จาก 50.4 จุดในเดือนม.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 50.5 จุด และตัวเลขต่ำกว่า 50 จุดถือว่าอยู่ในภาวะหดตัว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลที่ว่า กรีซจะไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้สาธารณะได้ แม้ที่ประชุมรมว.คลังยูโรโซนอนุมัติมาตรการให้ความช่วยเหลือกรีซรอบสองแล้วก็ตาม
หุ้นโวดาโฟนร่วงลง 1.1% หุ้นริโอทินโต ดิ่งลง 1% ส่นหุ้นโคฟ เอนเนอร์จี ทะยานขึ้น 26% หลังจากรอยัล ดัทช์ เชลลื ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของยุโรป เสนอซื้อกิจการโคฟ เอนเนอร์จี มูลค่า 992.4 ล้านปอนด์ หรือ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของอังกฤษดิ่งลง 1.21% ซึ่งเป็นกลุ่มที่ร่วงลงมากที่สุด โดยหุ้นธนาคารบาร์เคลย์สดิ่งลง 3.5% และหุ้นธนาคารรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ (RBS) ดิ่งลง 3.1 % ในขณะที่นักลงทุนรอดูผลประกอบการตลอดทั้งปีที่ RBS จะเปิดเผยออกมาในวันพฤหัสบดี หุ้นคาร์นิวัลซึ่งเป็นผู้ประกอบการเรือสำราญร่วงลง 2.01% และหุ้นเรคคิทท์ เบนไคเซอร์ ซึ่งทำธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ร่วงลง 2.18 %
รายงานการประชุมของของธนาคารกลางอังกฤษระบุว่า นายอดัม โพเซน และนายเดวิด ไมล์ส กรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางได้สนับสนุนให้มีการขยายมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อีก 7.5 หมื่นล้านปอนด์ เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในขณะที่กรรมการส่วนใหญ่สนับสนุนให้ขยายโครงการ QE อีก 5 หมื่นล้านปอนด์ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าธนาคารกลางอังกฤษมีความวิตกกังวลอย่างมากต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ