ทริส ให้เครดิตหุ้นกู้-คงเครดิตองค์กร THANI ที่ ?BBB+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 28, 2012 16:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทของ บมจ. ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) ที่ระดับ ?BBB+" ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ ?BBB+" ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง ?Stable" หรือ ?คงที่" ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปชำระคืนเงินกู้เดิมของบริษัท

อันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารของบริษัทที่มีประสบการณ์สูงในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์มือสอง รวมถึงความคืบหน้าในการพัฒนากระบวนการขั้นตอนการปฏิบัติงานและระบบบริหารความเสี่ยง อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลประกอบการทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นและสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านธุรกิจและการเงินจากผู้ถือหุ้นใหญ่คือธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) โดยธนาคารนครหลวงไทยได้ควบรวมกิจการกับธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา

อันดับเครดิตของบริษัทยังได้รับการยกระดับเพิ่มขึ้นจากสถานะอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทโดยตรงเนื่องจากปัจจุบันบริษัทเป็นบริษัทลูกที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคารธนชาตภายใต้กฎเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่มของธนาคารแห่งประเทศไทย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากประเด็นกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงและปัญหาคุณภาพสินเชื่อของบริษัทจากการที่ปัจจุบันบริษัทมุ่งเน้นให้สินเชื่อสำหรับรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable" หรือ ?คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าประสบการณ์ของผู้บริหารตลอดจนประสิทธิภาพการปฏิบัติงานที่ปรับตัวดีขึ้นและการสนับสนุนจากบริษัทแม่จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายสินเชื่อในผลิตภัณฑ์และตลาดที่ตั้งเป้าหมายไว้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมและรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ อีกทั้งการสนับสนุนจากธนาคารแม่ยังคาดว่าจะมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจ

ทริสเรทติ้งรายงานว่า หลังการปรับโครงสร้างเงินทุนในปลายปี 2549 บริษัทราชธานีลิสซิ่งมีสถานะเป็นบริษัทร่วมของธนาคารนครหลวงไทย ส่งผลให้สถานะทางการตลาดของบริษัทปรับตัวดีขึ้น บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากฐานทุนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและการกู้ยืมจากธนาคารนครหลวงไทยเพื่อเป็นเงินทุนในการขยายสินเชื่อของบริษัท สินเชื่อคงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยปรับเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ย 53% ในช่วงปี 2549-2553 สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก 1,775 ล้านบาทในปี 2549 เป็น 10,404 ล้านบาทในปี 2553 สินเชื่อยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2554 โดยปรับเพิ่มเป็น 12,483 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม เมื่อเปรียบเทียบกับการเป็นบริษัทเดี่ยวทั่ว ๆ ไปแล้ว สถานะการเป็นบริษัทร่วมของธนาคารพาณิชย์ช่วยให้บริษัทได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านธุรกิจและการเงินที่ดีกว่าจากธนาคารแม่

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทราชธานีลิสซิ่งได้รับผลกระทบจากการควบรวมระหว่างธนาคาร นครหลวงไทยและธนาคารธนชาต โดยหลังจากประสบความสำเร็จในการควบรวมกิจการ ธนาคารธนชาตเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 48.4% ของบริษัทโดยตรง ณ ต้นเดือนพฤศจิกายน 2554 บริษัทได้ทำการปรับโครงสร้างทุนโดยการขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งธนาคารธนชาตได้ใช้สิทธิทั้งหมดของตนในการซื้อหุ้นของบริษัท ในขณะที่มีผู้ถือหุ้นอื่นไม่กี่รายที่ใช้สิทธิ ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทโดยธนาคารธนชาตเพิ่มขึ้นเป็น 65.2% ดังนั้น บริษัทจึงเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทลูกของธนาคารธนชาต ซึ่งปัจจุบันธนาคารธนชาตได้จัดให้บริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทลูกที่อยู่ในกลุ่มควบรวมแบบ Full Consolidation ตามกฎเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่มของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 ธนาคารธนชาตเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อรถยนต์รายใหญ่ที่สุดด้วยสินเชื่อรถยนต์คงค้างประมาณ 276 พันล้านบาท แม้ว่าธุรกิจหลักของบริษัทคือธุรกิจสินเชื่อรถยนต์จะทับซ้อนกับธุรกิจของธนาคารธนชาต ทว่าบริษัทและธนาคารก็มีตลาดเป้าหมายที่ต่างกัน การเพิ่มทุนล่าสุดจากธนาคารธนชาตสื่อให้เห็นว่าธนาคารธนชาตมีความตั้งใจที่จะให้บริษัทเน้นกลุ่มตลาดที่ธนาคารธนชาตยังเข้าไม่ถึง ในช่วงปีที่ผ่านมา ธนาคารธนชาตได้ให้ความช่วยเหลือบริษัทในการพัฒนากระบวนการอนุมัติสินเชื่อและการจัดเก็บหนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน มีการนำนโยบายการบริหารความเสี่ยงด้านต่าง ๆ มาใช้ในบริษัทเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของธนาคารธนชาต บริษัทยังได้รับการแนะนำและกำกับดูแลจากธนาคารแม่และธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลธนาคารแม่ด้วย

การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสินเชื่อรถยนต์มือสองทั่ว ๆ ไปได้ผลักให้บริษัทขนาดเล็กเช่นบริษัทราชธานีลิสซิ่งต้องแสวงหาผลิตภัณฑ์และตลาดใหม่ๆ โดยบริษัทได้หันไปเน้นการให้บริการสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2549 โดยสินเชื่อในกลุ่มนี้คิดเป็น 55% ของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คงค้างของบริษัท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 บริษัทพยายามชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น การเรียกเก็บเงินดาวน์ที่เพิ่มขึ้น และการให้ชำระเช็คลงวันที่ล่วงหน้า แม้ว่าคุณภาพสินเชื่อสำหรับรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ แต่บริษัทก็ยังคงมีความท้าทายในการดำรงผลตอบแทนในระยาวให้มีเสถียรภาพหลังจากหักเงินกันสำรองสำหรับหนี้สงสัยจะสูญแล้ว

ทริสเรทติ้งยังคงมีความกังวลกับคุณภาพของสินเชื่อประเภทใหม่นี้เนื่องจากความเชี่ยวชาญของบริษัทคือสินเชื่อสำหรับรถยนต์นั่งและรถกระบะ อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 5.9% ในปี 2551 เป็น 2.8% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 การปรับตัวที่ดีขึ้นของอัตราส่วนคุณภาพสินเชื่อส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายฐานสินเชื่ออย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 3.0% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 และเช่นเดียวกันกับผู้ให้บริการสินเชื่อรถยนต์อื่น ๆ บริษัทได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมปรับสูงขึ้นเป็น 4.2% ณ สิ้นปี 2554 ส่งผลให้มีภาระค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองเพิ่มสูงขึ้นและทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลง

การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสินเชื่อรถยนต์มือสองส่งผลกดดันความพยายามของบริษัทราชธานีลิสซิ่งในการปรับเพิ่มอัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยแม้ว่าสินเชื่อสำหรับรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์จะให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นก็ตาม เงินทุนต้นทุนต่ำจากธนาคารแม่ช่วยสนับสนุนประคองส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายของบริษัท ตั้งแต่ปี 2551 บริษัทได้รับประโยชน์จากปัจจัยหลัก 2 ประการคือ ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดและการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการบัญชีเกี่ยวกับ

การตัดจำหน่ายค่าใช้จ่ายคอมมิชชั่น ปัจจัยทั้ง 2 ประการดังกล่าวช่วยปรับปรุงผลการดำเนินงานของบริษัทให้ดีขึ้นจากการที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้นช้ากว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 26.7% ในปี 2552 ลดลงจากอัตราที่สูงกว่า 30% ในช่วงหลายปีก่อนปี 2551 อัตราส่วนดังกล่าวลดลงต่อไปอีกเป็น 19.8% ในปี 2553 และลดลงมาอยู่ที่ระดับเพียงแค่ 12.2% สำหรับปี 2554

บริษัทรายงานผลกำไรสุทธิ 204 ล้านบาทในปี 2553 เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจาก 109 ล้านบาทในปี 2552 กำไรสุทธิสำหรับ 3 ไตรมาสแรกของปี 2554 อยู่ที่ระดับ 191 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 30.1% จากช่วงเดียวกันในปี 2553 ผลจากอุทกภัยกระทบต่อผลประกอบการโดยรวมในปี 2554 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากภาระค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองจำนวน 126 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 40 ล้านบาทในปี 2553 ส่งผลให้บริษัทมีผลกำไรสุทธิ 205 ล้านบาทในปี 2554 ใกล้เคียงกับกำไรสุทธิในปี 2553 ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นได้ปรับเพิ่มอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อรวมเป็น 2.4% ในปี 2554 จาก 2.2% ในปี 2553 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% ในปี 2553 จาก 1.9% และ 1.8% ในปี 2552 และปี 2551 อัตราส่วนดังกล่าวปรับลดลงเป็น 1.9% ในปี 2554 ฐานทุนของบริษัททรุดลงจากการระดมทุนเชิงรุกโดยการกู้ยืมเพื่อขยายสินเชื่อแม้ว่าจะมีการเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิตามใบรับรองสิทธิในการซื้อหุ้นของธนาคารนครหลวงไทยในปลายปี 2552 และการปรับตัวดีขึ้นของผลประกอบการในปี 2552 และปี 2553 แล้วก็ตาม อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงจาก 31.4% ในปี 2550 เป็น 13.4% ในปี 2553 และ 12.2% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 การปรับโครงสร้างทุนในเดือนพฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมาทำให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นเป็น 17.2% ณ สิ้นปี 2554 ระดับดังกล่าวถือว่าเพียงพอต่อการขยายสินเชื่อในอีก 2-3 ปีข้างหน้าภายใต้การคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง ปัจจุบันบริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นหลังจากมีสถานะเป็นบริษัทในเครือของธนาคารหลวงไทยซึ่งปัจจุบันคือธนาคารธนชาต ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 ประมาณ 75% ของเงินกู้ยืมรวมของบริษัทเป็นการกู้ยืมจากธนาคารแม่ บริษัทสามารถนำเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปชำระคืนเงินกู้เดิม ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารธนชาตสามารถสนับสนุนบริษัททางด้านการเงินได้มากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ