ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง136.99จุด เหตุวิตกศก.โลกหลังGDPจีนชะลอเกินคาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday April 14, 2012 05:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (13 เม.ย.) เนื่องจากความหวั่นวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากที่จีนเผยตัวเลขจีดีพีที่ย่ำแย่กว่าคาด ประกอบกับความกังวลเรื่องวิกฤตหนี้ยุโรปที่หวนกลับคืนมาใหม่

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 136.99 จุด หรือ 1.05% ปิดที่ 12,849.59 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 17.31 จุด หรือ 1.25% ปิดที่ 1,370.26 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 44.22 จุด หรือ 1.45% ปิดที่ 3,011.33 จุด

สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยวานนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกปีนี้ ขยายตัวที่ระดับ 8.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากระดับ 8.9% ในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนอาจกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง (hard landing) มากกว่าชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป (soft-landing) ตามที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งคาดการณ์

อัตราการขยายตัวซึ่งอ่อนแอที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี และต่ำกว่าที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ที่ 8.3% ได้จุดกระแสตื่นตระหนกว่า การชะลอตัวรุนแรงของเศรษฐกิจจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกอาจส่งผลกระทบไปถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกด้วย

ขณะเดียวกัน วิกฤตหนี้ยุโรปได้ถูกจุดปะทุขึ้นอีกครั้ง เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสเปนพุ่งสูงขึ้นกว่า 6% หลังจากที่มีรายงานว่า ธนาคารพาณิชย์ของสเปนกู้เงินจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มากเป็นประวัติการณ์ในเดือนมี.ค. นอกจากนี้ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของอิตาลีในเดือนก.พ.ก็ปรับตัวลดลงโดยไม่คาดหมาย ซึ่งได้สร้างความหวาดหวั่นเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศ

ในส่วนของเศรษฐกิจสหรัฐเองนั้น เมื่อวานนี้ กระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 0.3% สอดคล้องกับคาดการณ์

ขณะที่รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนเม.ย. ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 75.7 จาก 76.2 ในเดือนมี.ค.เนื่องจากการจ้างงานที่ชะลอตัว ตลอดจนราคาน้ำมันเบนซินที่อยู่ในระดับสูงได้ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณลบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง แม้ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐรายงานผลประกอบการดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก็ตาม

เจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค เปิดเผยผลกำไร 5.4 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก ซึ่งแม้ว่าจะต่ำกว่าไตรมาสก่อน แต่ก็ยังสูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด ด้านผลกำไรของเวลส์ ฟาร์โก ก็ออกมาดีเกินคาดเช่นกัน เพราะรายได้ที่แข็งแกร่งจากธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ