ทริสฯ คงเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ไม่มีประกัน SPALI ที่ A-,หุ้นกู้มีประกัน A

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 10, 2012 16:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ศุภาลัย(SPALI) ที่ระดับ “A-" พร้อมคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดปัจจุบันของบริษัทโดยหุ้นกู้มีประกันอยู่ที่ระดับ “A" และหุ้นกู้ไม่มีประกันอยู่ที่ระดับ “A-" โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนแบรนด์สินค้าที่ได้รับการยอมรับในตลาดผู้มีรายได้ระดับปานกลาง ความสามารถในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงไปบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง และภาวะการขาดแคลนแรงงาน ตลอดจนต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น

ในขณะที่อันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกันของบริษัทมีหลักประกันเป็นอาคารสำนักงานให้เช่า “ศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์" ซึ่งมีมูลค่าตลาดที่ 1.7 เท่าของมูลค่าหุ้นกู้คงค้างตลอดอายุของหุ้นกู้

ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ในระยะปานกลาง โดยคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับที่สูงกว่าคู่แข่งได้แม้ต้นทุนค่าก่อสร้างจะเพิ่มขึ้นและการแข่งขันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นก็ตาม นอกจากนี้ แม้จะมีการขยายโครงการอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษากระแสเงินสดและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ทริสเรทติ้งรายงานว่า SPALI เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2532 โดยตระกูลตั้งมติธรรม ณ เดือนพฤษภาคม 2555 ตระกูลตั้งมติธรรมซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทถือครองหุ้นในสัดส่วนทั้งสิ้น 28% ณ สิ้นเดือนเมษายน 2555 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 70 โครงการด้วยมูลค่ายอดขายคงเหลือประมาณ 25,000 ล้านบาท และยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้เป็นจำนวนมากอีกประมาณ 28,000 ล้านบาท หรือประมาณ 2 เท่าของฐานรายได้

โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัท ณ เดือนเมษายน 2555 ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมคิดเป็น 63% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด และโครงการบ้านจัดสรรอีก 37% ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความสามารถในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งทำให้บริษัทสามารถเสนอขายที่อยู่อาศัยในราคาที่แข่งขันได้

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ยอดขายของบริษัทในปี 2554 เท่ากับ 18,026 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จาก 14,366 ล้านบาทในปี 2553 ซึ่งเป็นผลมาจากการตอบรับที่ดีในโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายในปี 2554 ผลสำเร็จดังกล่าวผลักดันให้ยอดขายคอนโดมิเนียมของบริษัทมีมูลค่าสูงสุดที่ 12,890 ล้านบาท ส่วนยอดขายในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2555 เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 8,759 ล้านบาทจาก 2,793 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากความสำเร็จในการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมซิตี้รีสอร์ต รัชดา ห้วยขวาง อาเซียน ซิตี้ รีสอร์ต และศุภาลัย เวลลิงตัน ซึ่งมียอดขายรวมกันประมาณ 4,400 ล้านบาทในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2555

รายได้รวมของบริษัทเท่ากับ 12,686 ล้านบาทในปี 2554 เพิ่มขึ้น 14% จาก 11,083 ล้านบาทในปี 2553 ทั้งนี้ รายได้จากคอนโดมิเนียมเติบโต 28% จากการโอนคอนโดมิเนียมในโครงการซิตี้โฮม รัตนาธิเบศร์ ซิตี้รีสอร์ต รามคำแหง ศุภาลัย ปาร์ค ติวานนท์ และศุภาลัย ปาร์ค เกษตร-นวมินทร์ ในขณะที่รายได้จากบ้านจัดสรรอยู่ที่ประมาณ 4,900 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2553-2554

รายได้ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 ลดลงอย่างมากถึง 52% เป็น 1,578 ล้านบาท จาก 3,286 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 เนื่องจากการรับรู้รายได้ของคอนโดมิเนียมที่ลดลงค่อนข้างมาก โดยรายได้จากคอนโดมิเนียมเท่ากับ 595 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2555 ซึ่งลดลงอย่างมากจาก 2,298 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 อย่างไรก็ตาม บริษัทมียอดขายที่รอการส่งมอบภายในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปี 2555 ประมาณ 7,700 ล้านบาท ดังนั้น รายได้สำหรับปี 2555 น่าจะยังคงดีอยู่

อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงโดยอยู่ที่ระดับ 32.33% ในปี 2554 และ 29.13% ในไตรมาสแรกของปี 2555 จาก 34.90% ในปี 2553 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรของบริษัทก็ยังคงสูงกว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กระแสเงินสดของบริษัทอ่อนลงโดยมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเป็น 7.49% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 จาก 23.14% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงเดียวกันของปี 2554

อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากบริษัทมียอดขายรอการส่งมอบในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปี 2555 เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 33.33% ณ เดือนธันวาคม 2554 และ 30.05% ณ เดือนมีนาคม 2555


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ