บลจ.ไอเอ็นจี ออกกองทุนอิควิตี้ปันผล เน้นลงทุนหุ้นพื้นฐาน-กำไรดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 27, 2012 13:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไอเอ็นจี ไทย (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนใหม่ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แวลู โฟกัส อิควิตี้ ปันผล" ในระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม - 5 กันยายน 2555 กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ที่ 2,000 บาท

โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนกองทุนในตราสารทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานและผลการดำเนินงานที่ดี มีกิจการมั่นคง มีความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับที่ดีอย่างสม่ำเสมอ และมีรายได้ไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงต้องมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในกลุ่มเดียวกัน โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารดังกล่าวไม่น้อยกว่า 80% ในแต่ละรอบบัญชี ส่วนที่เหลืออีก 20% จะลงทุนในตราสารอื่น

จุดเด่นของ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แวลู โฟกัส อิควิตี้ ปันผล" อยู่ที่การเน้นลงทุนในหุ้น Value ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และ/หรือมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง โดยลักษณะสำคัญของหุ้น Value ประกอบด้วย อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ในระดับที่สูง อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) อยู่ในระดับต่ำ และอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV Ratio) อยู่ในระดับที่ต่ำ ดังนั้น การลงทุนในหุ้น Value จึงเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว และมีความผันผวนต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นประเภทอื่น ซึ่งเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์การลงทุนในขณะนี้

จุดเด่นของ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แวลู โฟกัส อิควิตี้ ปันผล จะอยู่ที่การคัดเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตสูง มีอัตราการจ่ายปันผลอยู่ในระดับสูงแล้ว กองทุนยังมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผล 4 ครั้งต่อปี ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 ของกำไรสุทธิแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีการจ่ายเงินปันผล ประกอบกับประสบการณ์ด้านการบริหารกองทุนที่ยาวนานสำหรับกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในลักษณะเดียวกัน โดยผลตอบแทนกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แวลูพลัส ปันผล หุ้นระยะยาว นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา สร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 22.05% ขณะที่ดัชนี SET Index อยู่ที่ 14.89% (ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2555) อีกทั้งกองทุนยังได้รับการจัดอันดับ MorningStar Rating (Overall) อยู่ในระดับ 4 ดาว (ข้อมูล : www.morningstarthailand.com ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2012) จากผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี ทำให้มั่นใจว่า จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนได้

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตอย่างเปราะบาง ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ปรับลดการคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2556 ลงจากระดับ 4.1% เหลือ 3.9% โดยปัจจัยที่กดดันให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวช้าลง มาจากปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปยังไม่คลี่คลาย รวมถึงความกังวลในการขอความช่วยเหลือทางการเงินของกลุ่มประเทศ PIIGS รวมถึงปัจจัยจากการชะลอตัวของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่หลายประเทศ ในกรณีสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงหลักจากการปรับลดการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาใหม่ จะทำการปรับขยายระดับหนี้ในระยะปานกลาง เพื่อลดผลกระทบเชิงลบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงเหมือนเช่นที่ผ่านมา อาจทำให้มีความเสี่ยงที่ครึ่งหลังปี 2555 เศรษฐกิจจะเติบโตลดลง

ขณะที่กลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) และเอเชียยังคงได้รับความสนใจในการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและโครงสร้างทางการเงินการคลังที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับสหรัฐฯและยูโรโซน โดยคาดว่า ประเทศในเอเชียไม่นับรวมญี่ปุ่น จะสามารถขยายตัวได้ประมาณ 6.7% ในปีนี้และ 7.2% ในปีหน้า เนื่องจากยังมีช่องว่างในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านทั้งระบบการคลังและการเงิน รวมถึงประเทศเหล่านี้มียอดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดค่อนข้างสูง และยังมีเงินทุนสำรองอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสนับสนุนที่จะดึงดูดเงินทุนต่างชาติให้ไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้

ส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น แม้ว่าจะเผชิญความผันผวนอยู่เป็นระยะจากปัจจัยภายนอกประเทศ แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนเชิงบวกจากการคาดการณ์การผ่อนคลายนโยบายการเงินด้วยการเพิ่มปริมาณเงิน (QE3) ของสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้หรืออย่างช้าภายในต้นปีหน้า รวมถึงความสามารถในการทำกำไรของหลายๆ บริษัทและอุตสาหกรรมยังคงดีอยู่ โดยผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 อยู่ที่ 17.2% รองแค่ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ที่อยู่ 27.3% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปียอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติถึง 30 กรกฎาคม 2555 อยู่ที่ 62,317.63 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ