ฟิทช์จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีหลักประกัน SCC 6.5 พันลบ.ที่ ‘A(tha)’

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 24, 2012 15:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวสำหรับหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ครั้งที่ 3/2555 ของ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) (ซึ่งมีอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ F1(tha)) มูลค่าไม่เกิน 6.5 พันล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2562 ที่ระดับ ‘A(tha)’

เงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่นี้จะนำมาใช้สำหรับการลงทุนในอนาคต อันดับเครดิตของ SCC สะท้อนถึงการที่บริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงของแหล่งที่มาของรายได้จากธุรกิจต่างๆ ซึ่งได้แก่ ธุรกิจปิโตรเคมี ปูนซีเมนต์ กระดาษ และวัสดุก่อสร้าง นอกจากนี้สถานะความเป็นผู้นำในตลาดภายในประเทศของธุรกิจปูนซีเมนต์และกระดาษน่าจะช่วยรักษาความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯในช่วงที่สภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจปิโตรเคมียังคงมีความท้าทายอยู่สูงในปี 2555

วัฏจักรขาลงของธุรกิจปิโตรเคมีในปัจจุบันได้กดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ซึ่งส่งผลให้ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) สำหรับ 12 เดือนล่าสุด เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.8 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 จากระดับ 3.1 เท่า ณ สิ้นปี 2554

อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ จะปรับตัวดีขึ้นในปี 2556 จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของธุรกิจปิโตรเคมีที่น่าจะปรับตัวดีขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่คาดว่าจะน้อยลง อันดับเครดิตของบริษัทฯถูกลดทอนโดยปัจจัยเสี่ยงจากการที่บริษัทฯ ต้องเผชิญกับความผันผวนของธุรกิจปิโตรเคมีและกระดาษ

นอกจากนี้กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทฯยังคงมีความเสี่ยงจากราคาพลังงานที่สูง ในขณะที่สภาวะอุปทานส่วนเกินในธุรกิจปูนซีเมนต์ส่งผลให้มีการแข่งขันทางด้านราคาเป็นครั้งคราว ซึ่งอาจทำให้อัตราส่วนกำไรของบริษัทฯ ลดลงในบางช่วงอีกด้วย นอกจากนี้ ความสามารถที่จำกัดในการกำหนดราคาในกลุ่มสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ของธุรกิจปูนซีเมนต์ ปิโตรเคมี และกระดาษยังเป็นปัจจัยลบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ โดยเฉพาะในช่วงวัฏจักรขาลงของธุรกิจอีกด้วย

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคตนั้น ปัจจัยบวก ได้แก่ การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของสัดส่วนของกระแสเงินสดที่มาจากธุรกิจในต่างประเทศ, อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากและต่อเนื่อง และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) ที่ต่ำกว่า 2.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง

ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขาย รวมถึงกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ที่ลดลงอย่างมากและต่อเนื่อง

และสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่อ่อนแอลงจากวัฏจักรขาลงของธุรกิจปิโตรเคมีที่ต่อเนื่องยาวนานกว่าที่คาด หรือ จากการเข้าซื้อกิจการด้วยเงินลงทุนที่สูง ซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) สูงกว่า 3.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ