ทั้งนี้ การที่บริษัทเข้าจดทะเบียนด้วยเกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)ไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท ไม่ใช่เกณฑ์การมีกำไรย้อนหลัง 2-3 ปี ซึ่งเป็นเกณฑ์เดียวกับ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์(ANAN) นั้น บริษัทไม่ได้กังวลว่าราคาหุ้นที่เข้าซื้อขายจะต่ำกว่าราคา IPO เหมือนกับกรณีของ ANAN เนื่องจากพื้นฐานของบริษัทแตกต่างกัน
กรณีของบริษัทพัฒนาโครงการใหญ่และการรับรู้รายได้ต้องใช้เวลา อย่างเช่น โครงการมหานครมูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาทที่กำลังก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 58 ซึ่งจะประกอบด้วย ร้านค้า ศูนย์การค้า และคอนโดมิเนียม โดยในส่วนของคอนโดมิเนียมขณะนี้มียอดขายแล้วเกือบ 4,000 ล้านบาท หรือ 40% ของมูลค่าโครงการ 12,500 ล้านบาท แต่จะไปรับรู้รายได้ในปี 58 ทั้งจำนวน ขณะที่บริษัทมีแผนจะเปิดโครงการใหม่ปีละ 1-2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2 หมื่นล้านบาท/ปี
นายสรพจน์ กล่าวว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีการขยายงานอย่างต่อเนื่องจะดูที่งบการเงินหรือการรับรู้รายได้อย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะการลงทุนโครงการขนาดใหญ่อาจจะทำให้งบการเงินออกมาแปลกๆ ในช่วง 2-3 ปี แต่ในแง่ธุรกิจยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเพซฯ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์เท่านั้น ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่อื่นๆ มีทั้งโครงการระดับบน กลาง และล่าง
"การที่เรามีลูกค้าชั้นดี มี backlog ต่อเนื่องจึงค่อนข้างมั่นใจเพราะมีลูกค้าชัดเจน เชื่อว่าทั้งนักลงทุนสถาบันและรายย่อยจะรับได้ จะได้รับการตอบรับที่ดี การเข้าตลาดหุ้นช่วงนี้มองเป็นโอกาสดีทั้งเศรษฐกิจทีมงานพร้อม กลุ่มลูกค้ามีรองรับเป็นโอกาสที่จะขยายโครงการเพิ่ม"นายสรพจน์ กล่าวสำหรับการระดมทุนจากการขาย IPO ครั้งนี้ บริษัทมีแผนจะนำไปใช้พัฒนาโครงการใหม่ โดยบางส่วนจะนำไปจ่ายค่าที่ดิน 2 พันล้านบาท ที่หัวหินและที่ดินถนนหลังสวน โดยที่หัวหินจะพัฒนาเป็นโครงการบ้านพักตากอากาศแบบ Tropical resort จำนวน 120 หลัง บนที่ดินประมาณ 120 ไร่ เริ่มเปิดขายต้นปี 56 ส่วนย่านหลังสวนเป็นโครงการคอนโดมิเนียม Super Luxury 30 ชั้น มูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท
บริษัทคาดว่าหลังจากโครงการมหานครแล้วเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้จะทำให้ปี 58 สัดส่วนรายได้ 1 ใน 4 ส่วนจะมาจากค่าเช่า โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ อีก 3 ส่วนเป็นรายได้จากการพัฒนาโครงการเพื่อขาย