กองทุน ASP-STARS 4 จะเน้นลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในดัชนี HSCEI โดยผู้จัดการกองทุนจะเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตได้ดี ได้แก่ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์จีนชั้นนำ ซึ่งได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของสินเชื่อ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ธุรกิจประกันชีวิตจีน ที่ได้ประโยชน์จากการยกระดับสวัสดิการภาคบังคับ การเปิดโอกาสการลงทุนที่กว้างขึ้น และการขยายตัวของชุมชนเมืองทำให้ความต้องการประกันภัยสูงขึ้น ธุรกิจสื่อสาร ซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการขยายตัวของตัวเมืองทำให้ปริมาณการใช้ 3G Smart Phone และ Internet เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตได้ดี และกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ซึ่งได้ประโยชนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การเติบโตของสังคมเมือง แนวโน้มการพัฒนาชนบทเป็นชุมชนเมือง (Urbanization) และยอดค้าปลีกของจีนเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างตอเนื่อง ส่วนในการเลือกหุ้นผู้จัดการกองทุนจะเลือกบริษัทชั้นนำที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและมีมูลค่าที่เหมาะสม
บริษัทมั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์การคัดเลือกตลาดซึ่งเศรษฐกิจฟื้นตัว และมีศักยภาพในการเติบโต การเลือกอุตสาหกรรม และการคัดเลือกหุ้นรายตัว ประกอบกับจังหวะการลงทุนที่ดี จะส่งผลให้ระยะเวลาการลงทุน 9 เดือน เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการบริหารกองทุน ASP-STARS 4 ให้สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนตามเป้าหมายของกองทุนที่ 9%
ทั้งนี้ จากการที่นักวิเคราะห์คาดว่าในปี 2556 เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียจะเติบโตสูงขึ้น และมีศักยภาพการเติบโตที่สูงที่สุดในโลก นำโดยประเทศจีน โดยบริษัทฯ ประเมินว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3 / 55 ของจีน ที่เติบโตอย่างชะลอตัวลงที่ระดับร้อยละ 7.4 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจหลังจากที่รัฐบาลได้มีมาตรการกระตุ้น และผ่อนคลายนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในปี 2556 นักวิเคราะห์ คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะกลับมาสูงถึงร้อยละ 8.1 เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่ร้อยละ 7.7 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของนักลงทุนในตลาดหุ้นจีน ประกอบกับตลาดหุ้นจีน และเอเชียยังได้รับปัจจัยบวกจากการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวงเงินกว่า 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนซึ่งจะทำให้มีเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียอย่างต่อเนื่อง
บริษัทฯ ประเมินว่า หุ้นจีนที่น่าลงทุน คือ หุ้นของบริษัทสัญชาติจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของฮ่องกง (ดัชนี HSCEI หรือ Hang Seng China Enterprise Index (H-share Index) เนื่องจาก มีอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E ratio) ที่ประมาณ 10 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 13.1 เท่า และอยู่ระดับใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประกอบกับ บริษัทฯ ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัว และการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจซึ่งจะทำให้ P/E ปรับตัวขึ้นในระยะ 1 ปีข้างหน้า