บลจ.ธนชาต ตั้งเป้า AUM ปีนี้โต 15% มาที่ 1.4 แสนลบ. จาก 1.2 แสนลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 18, 2013 16:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. ธนชาต กล่าวว่า บลจ.ธนชาต ตั้งเป้าการเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(AUM)15% หรือคิดเป็น 1.4 แสนล้านบาท จากปัจจุบัน บลจ.ธนชาต มี AUM อยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท โดยในปีนี้คาดว่าจะออกกองทุนใหม่ จำนวน 12 กองทุน ซึ่งน้อยกว่าปี 55 ที่มีจำนวน 60 กองทุน เนื่องจากปี 55 ธนาคารธนชาตได้มีการควบรวมกับธนาคารนครหลวงไทยทำให้มีกองทุนใหม่เพิ่มขึ้นมากในปีที่แล้ว

โดยในไตรมาส 1/56 บลจ.ธนชาต ได้เตรียมออกกองทุน T-APACx1 เป็นกองทุนที่ไปลงทุนในหุ้นภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค บลจ.ธนชาต ได้ตั้งเป้าหมายผลตอบแทนอยู่ที่ 10% ต่อปี ส่วนกองทุน Mixed Income Fund เป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในต่างประเทศ คาดว่าจะออกได้ภายในเดือนมีนาคม 56 ตั้งเป้าผลตอบแทนอยู่ที่ 5% ต่อปี

ด้านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพธนชาติทวีค่า ปีนี้บริษัทฯมีความมุ่งมั่นในการนำเสนอกองทุนแก่บริษัทนายจ้างต่างๆที่สนใจ ซึ่งบริการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของ บลจ.ธนชาต มีนโยบายการลงทุนหลากหลายให้สมาชิกได้เลือก ซึ่งจะตอบโจทย์แก่สมาชิกทุกคนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้

ด้านนายตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้มองว่าอยู่ที่ 1,600-1,700 จุด ในระดับ P/E 14-15 เท่า โดยหุ้นที่แนะนำจะอยู่ในธุรกิจที่เน้นการบริโภคภายในประเทศ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และมีการติดต่อค้าขายในประเทศเพื่อนบ้านหรือในกลุ่มประชาคมอาเซียน(AEC) อีกทั้งตลาดหุ้นไทยยังสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาได้อยู่ จากการไม่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศที่มีการพัฒนาแล้ว แต่เปลี่ยนมาอิงกับเศรษฐกิจในภูมิภาคตนเองแทน

"เรามองดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังไปได้ 1,600-1,700 จุด ในระดับ P/E 14-15 เท่า ซึ่งหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุนเป็นหุ้นที่เน้นการบริโภคภายในประเทศ โครงสร้างพื้นฐาน และการค้าขายกับ AEC นอกจากนี้มองว่าที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิในสัดส่วนที่น้อย ไม่เป็นผลกระทบมากต่อตลาดหุ้นไทย แต่มองว่าจุดที่เป็นเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทยถ้ามีความเป็นไปได้ในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติเข้ามานั้นอยากให้มีการแยกตัวจากเศรษฐกิจโลก คือไม่อิงกับเศรษฐกิจโลกมากนัก เนื่องจากประเทศที่พัฒนาแล้วยังมีโอกาสเผชิญปัญหาภาวะเศรษฐกิจอยู่ แม้ว่าตอนนี้จะค่อยเริ่มฟื้นอยู่ แต่ถ้าอิงกับเศรษฐกิจในภูมิภาคเดียวกัน อย่างเช่นอาเซียน ที่มีอัตราการเติบโตที่สูง เนื่องจากปัจจุบันมีการเน้นการลงทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค จะทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น" นายตระกูลจิตร กล่าว

สำหรับอัตราดอกเบี้ยในประเทศอยากให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ เพราะมองว่าดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในอัตราร้อยละ 2.75 ต่อปี ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ถ้ามีการลดอัตรดอกเบี้ยลงจากเดิมมองว่าไม่มีความสมเหตุสมผล อาจส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะไม่มีความสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศที่ยังมีการเติบโตอยู่ นอกจากนี้การลดอัตราดอกเบี้ยลงยังไม่เป็นการดึงดูดนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาต เข้ามาลงทุนในประเทศ ทำให้เงินไหลออกนอกประเทศมากขึ้น พร้อมแนะให้มีการร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคเพื่อในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย เพื่อโอกาสในการลงทุนต่างๆและผลประโยชน์ร่วมกัน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ