ทริสฯจัดเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงิน 1.25 พันลบ. AP ที่ “A-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 24, 2013 13:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,250 ล้านบาทของ บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) ที่ระดับ “A-" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A-" เช่นกัน ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยบริษัทวางแผนจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้เพื่อขยายกิจการ

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย รวมถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง การมีสินค้าที่หลากหลาย และมูลค่าโครงการที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง ตลอดจนแรงกดดันจากราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้นและการขาดแคลนแรงงานรวมถึงภาระหนี้ระดับปานกลาง

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันที่เข้มแข็งในกลุ่มสินค้าหลักและจะสามารถปรับปรุงสินค้าให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของอุตสาหกรรมได้อย่างมีความสมดุล นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงดำรงนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังต่อไปและจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับประมาณ 50% ในระยะปานกลางไว้ได้

AP ก่อตั้งในปี 2533 โดยนายอนุพงษ์ อัศวโภคิน และนายพิเชษฐ วิภวศุภกร ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถือหุ้นรวมกัน ณ เดือนมีนาคม 2556 ในสัดส่วนประมาณ 30% ของบริษัท ในปี 2555 รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 1.72 หมื่นล้านบาท นับเป็นบริษัทที่มีรายได้สูงสุดอันดับ 4 ในกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของรายได้อยู่ที่ 18% ต่อปี ทั้งนี้ บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 1.6-2 หมื่นล้านบาทต่อปีนับตั้งแต่ปี 2552

บริษัทมีสินค้าอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยครอบคลุมในเกือบทุกประเภทซึ่งอยู่ในระดับราคาตั้งแต่ 1 ล้านบาทต่อหน่วยขึ้นไป โดยสินค้าในแต่ละกลุ่มสามารถสร้างยอดขายและมีส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับที่น่าพอใจ บริษัทมีผลประกอบการที่ประสบความสำเร็จในกลุ่มตลาดทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมในระดับราคาปานกลางถึงสูง ทั้งนี้ บริษัทเน้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก

สถานะทางการเงินโดยรวมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในปี 2555 โดยรายได้และยอดขายในปี 2555 เติบโตที่ 27% และ 41% ตามลำดับจากปีก่อน อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ปรับลดลงเล็กน้อยในปี 2555 ในขณะที่ภาระหนี้ก็ลดลงเช่นกัน

ทริสเรทติ้งคาดว่า ในระยะปานกลาง รายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.8-2 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้อยู่ในช่วงตัวเลขหลักเดียวช่วงสูง ทั้งนี้ โอกาสที่รายได้ของบริษัทจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าประมาณการมีค่อนข้างน้อยเนื่องจากบริษัทมีมูลค่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวนมาก ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 มูลค่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบของบริษัทอยู่ที่ 2.59 หมื่นล้านบาท ซึ่งมูลค่าดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3 ใน 4 ของประมาณการรายได้ของบริษัทจากโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงปี 2556-2557 และมากกว่ากึ่งหนึ่งของประมาณการรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมในปี 2557

บริษัทมีอัตราส่วนกำไรอยู่ที่ 17.1% ในปี 2555 ซึ่งปรับลดลงเล็กน้อยเปรียบเทียบกับอัตราส่วนที่ 19.3% ในปี 2554 เนื่องจากสัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบที่เพิ่มสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มมากขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรดังกล่าวจะอยู่ที่ประมาณ 16%-20% ในระยะปานกลาง อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ณ สิ้นปี 2555 อยู่ที่ 49.5% ปรับตัวดีขึ้นจาก 57.2% ณ สิ้นปี 2554 ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะรักษาอัตราส่วนภาระหนี้ต่อทุนให้อยู่ที่ 1 เท่า โดยเมื่อสิ้นปี 2555 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.92 เท่า ทริสเรทติ้งมองว่าเป้าหมายอัตราส่วนภาระหนี้ต่อทุนดังกล่าวของบริษัทอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตของบริษัท

ทริสเรทติ้ง เห็นว่า บริษัทมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 พันล้านบาทต่อปีในระยะปานกลาง ซึ่งเงินทุนจากการดำเนินงานในระดับดังกล่าวน่าจะเพียงพอสำหรับแผนการขยายธุรกิจและการจ่ายเงินปันผลของบริษัท ณ สิ้นปี 2555 หุ้นกู้ไม่มีหลักประกันคิดเป็น 81% ของภาระหนี้รวมของบริษัท การที่บริษัทมีภาระหนี้ที่มีหลักประกันในระดับต่ำทำให้อันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทเท่ากับอันดับเครดิตของบริษัท

หุ้นกู้ของบริษัทที่จะครบกำหนดไถ่ถอนระหว่างปี 2556-2559 มีมูลค่าประมาณ 2-3 พันล้านบาทต่อปี บริษัทคาดว่าจะไถ่ถอนคืนหุ้นกู้ส่วนใหญ่ด้วยเงินสดจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินที่สามารถรองรับการไถ่ถอนหุ้นกู้ได้เช่นกัน โดย ณ สิ้นปี 2555 บริษัทมีวงเงินระยะยาวที่ยังไม่ได้เบิกใช้อยู่ที่ 1.84 หมื่นล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ