(เพิ่มเติม) AP ปรับเป้ายอดขายปี 56 เพิ่มเป็น 2.4 หมื่นลบ.จากเดิม 2.2 หมื่นลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 24, 2013 13:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์(AP) ปรับเป้ายอดขายในปี 56 เพิ่มเป็น 2.4 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 2.2 หมื่นล้านบาท หลังจากไตรมาส 1/56 บริษัททำยอดขายได้แล้ว 3.8 พันล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 3.6 พันล้านบาท ประกอบกับบริษัทเพิ่มจำนวนโครงการที่จะเปิดตัวในปีนี้เป็น 26 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่วางแผนไว้ 23 โครงการ ซึ่งบริษัทจะเปิดโครงการในต่างจังหวัดเพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มสูงขึ้น

บริษัทยังอยู่ระหว่างการรีแบรนด์ โดยเปลี่ยนชื่อเป็น"เอพีไทยแลนด์"ซึ่งจะใช้งบลงทุนราว 300 ล้านบาท คาดว่าจะมีผลภายในเดือน พ.ค.นี้

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์การตลาด AP เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทได้ปรับเป้ายอดขายปี 56 เป็น 2.4 หมื่นล้านบาท จากที่ก่อนหน้านี้ได้ตั้งเป้าไว้ 2.2 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งตั้งเป้าเปิดโครงการเพิ่มป็น 26 โครงการ จาก 23 โครงการ โดยจะเพิ่มโครงการในต่างจังหวัด

"การที่บริษัทได้ปรับเป้าเพิ่ม เนื่องจากหลังจากไตรมาส 1/56 ทำยอดขายได้ถึง 3.8 พันล้านบาท จากที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ 3.6 พันล้านบาท เนื่องจากทั้งโครงการแนวราบและแนวสูงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้น"นายวิทการ กล่าว

สำหรับในครึ่งปีแรก บริษัทได้ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 9 พันล้านบาท โดยจะมีการเปิดโครงการใหม่ประมาณ 7 โครงการ และในครึ่งปีหลังอีก 19 โครงการ ทั้งหมดมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลังมีการเปิดโครงการมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมองว่าเป็นช่วงระยะเวลาที่ขายดี ลูกค้ามีกำลังซื้อ

นายวิทการ กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาการเติบโตของคอนโดมิเนียม มีการตอบรับที่ดีมาก แต่แนวโน้มปีนี้มองว่าการตอบรับจากแนวราบจะเติบโตมากกว่า บริษัทจึงได้มีการเปิดตัวโครงการนในแนวราบ มากกว่าโครงการแนวสูง โดยจะมีการเปิดทุก Segment ทั้งระดับล่าง กลาง และบน ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ยอดขายของบริษัทเติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้

ขณะเดียวกัน บริษัทจะมีการรีแบรนด์ โดยจะเปลี่ยนชื่อ เป็น บมจ.เอพี ไทยแลนด์ โดยจะยื่นเรื่องเสนอเข้าที่ประชุมผู้ถถือหุ้นในช่วงปลายเดือนเม.ย. นี้ ซึ่งจะสามารถใช้อย่างเป็นทางการได้ในพ.ค.นี้ โดยได้ตั้งงบลงทุนในการรีแบรนด์ครั้งนี้ไว้ประมาณ 300 ล้านบาท

"การรีแบรนด์ จะเป็นการสื่อถึงแนวความคิดใหม่ๆ และรูปแบบของโครงการที่มีการเปลี่ยนแปลง ที่เน้นรูปแบบทันสมัยมากขึ้น ในส่วนของนโยบายเพิ่มเงินดาวน์ เป็น 20% บริษัทมองว่า จะไม่ได้รับผลกระทบจากในส่วนนี้มาก เนื่องจาก บริษัทมีการเก็บเงินดาวน์ 25% ซึ่งเป็นอัตราไม่ต่างจากนโยบายใหม่ที่คาดว่าจะออกมา แต่อาจจะมีผลกระทบเล็กน้อยให้ยอดขายลดลงบ้าง แต่ไม่กระทบมาก"นายวิทการ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ