กองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนในประเทศที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยผู้จัดการกองทุนสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในแต่ละขณะเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน และคำนึงถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นเป็นสำคัญ
“สำหรับจุดขายของกองทุนนี้ นอกจากการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี มีอัตราเติบโตสูงแล้ว บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนอัตโนมัติผลตอบแทนกองทุนในอัตราร้อยละ 4 จำนวน 2 ครั้งตามเงื่อนไขกองทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดผันผวน บริษัทจัดการเชื่อว่าระยะเวลา 8 เดือนถึง 1 ปี ต่อจากนี้ เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ดี กำไรของบริษัทจดทะเบียนหลายๆกลุ่มจะประกาศออกมาดีอย่างต่อเนื่อง นโยบายภาครัฐและคลังรวมถึงค่าเงินบาทในปัจจุบันส่งเสริมเศรษฐกิจเชิงบวกต่อไป"นายเจิดพันธุ์กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจัดการยังคงมีเป้าหมายดัชนีที่ 1,700 หรือ P/E ที่ 15 เท่าในไตรมาสแรกของปี 2557 สำหรับคาดการณ์ตอบแทนของกองทุนนี้เชื่อว่าเหมาะสมกับระยะเวลาการลงทุน และอยู่ในระดับเดียวกันถึงสูงกว่าหลายๆกองทุนประเภททริกเกอร์ของอื่นๆที่ออกมาในช่วงนี้
ด้านนายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วไทยและเอเชียที่ปรับลงมาค่อนข้างมากในรอบนี้เกิดจากแรงขายอย่างตื่นตระหนกของนักลงทุนต่างชาติ บนความกังวลว่าธนาคารกลางอเมริกา และญี่ปุ่นจะชะลอการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นช่วงนี้เปรียบคล้ายกับนักกีฬาที่ติดสารกระตุ้น คือเม็ดเงินอัดฉีดจากอเมริกา และญี่ปุ่น แค่คิดว่าสารกระตุ้นจะหมด ตลาดก็ปรับลงแรง ตามมาด้วยอาการ panic sell
จุดนี้ถือว่าการปรับฐานเกิดขึ้นไปมากแล้ว เมื่อประเมินสถานการณ์ดูพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยภายนอกคือเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลออกแรงในระยะสั้น ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยเกิดขึ้นในบ้านเราเช่นในปี 2554 ที่ตลาดเคยกังวลเรื่องปัญหาของกรีซ หลังจากตลาดคลายกังวลดัชนีก็ปรับฟื้นตัว เมื่อมองดูพื้นฐานเศรษฐกิจ และแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนฯ ของไทยยังมีการเติบโตที่ดี ดังนั้นตอนนี้จึงเหมาะสำหรับการทยอยเข้าลงทุนในหุ้นไทย
แนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2556 ทางซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย, กองทุนอสังหาฯ และตราสารหนี้ระยะกลาง กำไรของบริษัทจดทะเบียนน่าจะทำจุดสูงสุดต่อเนื่องโดยเติบโตได้ 10 - 20% ใน 1 -2 ปีข้างหน้าส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะทำ new high ได้เช่นกัน
สำหรับสหรัฐอเมริกาน่าจะยังคงมาตรการ QE ต่อเนื่องแม้อาจลดขนาดของเม็ดเงินกระตุ้นลงบ้าง ขณะที่ญี่ปุ่นก็น่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเช่นเดียวกัน ทำให้การลงทุนในหลักทรัพย์ที่ปันผลสูงอย่างกองทุนอสังหาฯ และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานยังคงน่าสนใจ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังคงมีแนวโน้มทรงตัว ยังไม่น่าจะปรับเพิ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางดูจะมีความน่าสนใจมากกว่าพวกกองทุน money market หรือกองทุนแบบมีอายุ 6 - 12 เดือน ทั้งหมดเป็น 3 กลุ่มสินทรัพย์หลักที่น่าสนใจลงทุน