ทั้งนี้ การประเมินดังกล่าวอยู่ภายใต้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัว 4.7% และจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.8% ในปีหน้า ซึ่งปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในครึ่งหลังของปีนี้ หลังจากแผ่วลงไปในไตรมาส 2/53 จะมาจากการส่งออกที่จะฟื้นตัวขึ้นมาขยายได้ตัวได้ 6.2% ในปีนี้ การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังเชื่อว่าจะเติบโตได้ ขณะที่การลงทุนของภาครัฐจะเป็นหนึ่งในแรงส่งสำคัญ และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ
“ตอนนี้เราพูดได้ว่ามีการคาดหมายต่างๆ เกี่ยวกับสภาวะตลาดครึ่งปีหลังว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากดูจากภาวะตลาดการเงินทั่วโลกที่มีผลตอบแทนที่ดีกว่าที่เราเคยคาดการณ์ไว้สำหรับปีนี้...ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ดี เห็นจากการที่ MSCI World Index ตั้งแต่ต้นปี จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม ปรับตัวขึ้น 9% การปรับตัวขึ้นที่ดีที่สุดเกิดขึ้นในตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ตลาดเกิดใหม่ปรับตัวขึ้นน้อยกว่า" นายชาห์ กล่าว
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของซิตี้ ยังคงเน้นให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นด้วยเหตุผล 2 ประการ ด้วยกัน ประการที่ 1 ในขณะที่ราคาหุ้นไม่ได้ถูกแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาหลังจากเกิดวิกฤตทางการเงินหุ้นเหล่านั้นยังคงมีลักษณะที่มีผลตอบแทนต่อความเสี่ยงน่าสนใจมากกว่าการถือเงินสดหรือตราสารหนี้ ประการที่ 2 ผลกำไรของบริษัทอาจจะเปลี่ยนเป็นทิศทางขาขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะดีดตัวกลับในช่วงครึ่งปีหลัง
นายชาห์ ยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็มีมุมมองที่ดีต่อตลาดหุ้นในเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตอนเหนือ อาทิ ฮ่องกง เกาหลีและไต้หวัน ที่จะได้รับอิทธิพลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ในส่วนของการของลงทุนในตราสารหนี้นั้น เขาแนะให้ใช้กลยุทธ์ตั้งรับโดยให้ถือตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดีหรือมีความเสี่ยงต่ำ
ซิตี้คาดการณ์ว่าปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในช่วงครึ่งปีหลังของปี 56 คือ สภาพคล่องทางการเงินที่ยังคงมีอยู่ในตลาด เห็นได้จากการที่ญี่ปุ่นพยายามที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจโดยการประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายทางการเงินครั้งใหญ่ ปัจจัยนี้ผนวกเข้ากับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในยุโรปและออสเตรเลีย ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายดังที่สหรัฐได้ดำเนินการมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้มากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ และนโยบายดังกล่าวน่าจะยังคงอยู่ต่อไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้ จากสภาพคล่องที่ยังคงมีอยู่ ซึ่งส่งผลให้สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงอย่างหุ้น ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เชื่อว่านักลงทุนควรเลือกจัดพอร์ตการลงทุนแบบสมดุลในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยแนะให้ลดการถือเงินสดและตราสารหนี้ และหันไปถือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นแทน ทั้งนี้จะต้องไปลงทุนในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง สินทรัพย์มีคุณภาพและกำไรของบริษัทเติบโต เป็นการเปลี่ยนจากยุทธศาสตร์เชิงรับมาเป็นเชิงรุก แต่ทั้งนี้ควรที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางบวกด้วย เพื่อให้การบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทนเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้