(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลงตามดาวโจนส์-ภูมิภาคกังวลQE มองแนวรับอาจหลุด 1,300

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 22, 2013 09:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์สำหรับลูกค้าสถาบัน บล.ฟินันเซีย ไซรัส
กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องตามทิศทางตลาดภูมิภาคที่ตอบรัฐการร่วงลงของดีชนีดาวโจนส์ โดยกังวลการลดขนาดมาตรการ QE ของสหรัฐในระยะเวลาอันใกล้นี้หลังจากกรรมการบางคนในคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(FOMC) แสดงความเชื่อมั่นว่าเฟดควรจะเริ่มลดขนาดโครงการซื้อสินทรัพย์ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศของไทยก็ขยายตัวลดลง

นอกจากนั้น ยังเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะยังมีการขายออกมาอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง เช่นเดียวกับในประเทศอินเดียและอินโดนีเซีย

ส่วนดัชนีตลาดภูมิภาคเช้านี้อยู่ในแดนลบทั้งหมด

ส่วน บล.เมย์แบงค์ กิมเอง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ด้านเทคนิค ให้แนวรับ 1,340-1,350 , 1,310 และ 1,280 จุด แนวต้าน 1,375 และ 1,390 จุด การถดถอยลงมาลึก ทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่หลังพักฐานระลอกนี้ จะเห็น SET สร้างฐานเพื่อพลิกตัวกลับ คำแนะนำ สำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง จึงน่าแบ่งส่วนทยอยรับหากอ่อนตัวถอยลึกลงมาบริเวณแนวรับหลักๆ

ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน :

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์คเมื่อวานนี้(21 ส.ค.)ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 14,897.55 จุด ลดลง 105.44 จุด(-0.7%) ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 1,642.80 จุด ลดลง 9.55 จุด(-0.58%) และดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 3,599.79 จุด ลดลง 13.80 จุด(-0.38%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 110.28 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.65 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 279.54 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 53.21 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 19.52 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 34.29 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 375.70 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 17.51 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลีย ลดลง 21.00 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดวานนี้(21 ส.ค.) ที่ 1,355.14 จุด ลดลง 15.72 จุด(-1.15%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 5,703.06 ลบ. เมื่อ 21 ส.ค.56
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการวานนี้(21 ส.ค.)ที่ 103.85 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.26 ดอลลาร์
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดวานนี้(21 ส.ค.)ที่ 6.9 เหรียญฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิดวันนี้ 32.02/04 อ่อนค่าหลังเฟดไม่กำหนดเวลาชัดเจนชะลอ QE
  • นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้น-พันธบัตรกว่า 2 หมื่นล้านหลังจีดีพีไตรมาส 2 ร่วง, นักวิเคราะห์หวั่นค่าเงิน"บาท-ริงกิต"เสี่ยงถูกเทขายต่อจาก"รูปี-รูเปี๊ยะห์" เหตุขาดดุลการคลังสูง เศรษฐกิจชะลอตัว และต่างชาติถือครองพันธบัตรรัฐบาลมาก แต่ประเมินไทยจัดการได้ ด้านค่าเงินบาทร่วงต่อเนื่อง แตะระดับต่ำสุดรอบ 13 เดือน ขณะอินเดียประกาศมาตรการพยุงค่ารูปี
  • สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า หากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยชะลอตัวลงหรือขยายตัวในระดับต่ำกว่า 4% จะส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานแน่นอน โดยเฉพาะแรงงานใหม่ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานจะหางานทำได้ยากขึ้น
  • คณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)เห็นชอบในหลักการให้ศึกษาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีน้ำตาลแคราย-ลำสาลี ระยะทาง 21.9 กม. วงเงินกว่า 4.5 หมื่นล้านบาทเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดทางด้านเหนือของกรุงเทพฯ และเป็นเส้นทางเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้า 6 เส้นทาง คาดว่าจะสรุปรายละเอียดเสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาได้ภายในเดือน ก.ย.นี้
  • รมช.คมนาคม เผยคงไม่ทบทวนว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้นค่าทางด่วนอีกแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ได้ศึกษารายละเอียดมามากแล้ว และการปรับค่าทางด่วนที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 ก.ย.นี้ ถือว่าเป็นไปตามสัญญาสัมปทานที่ได้ทำไว้กับเอกชนซึ่ง กทพ. คงไม่สามารถที่จะขัดกับสัญญาได้
  • อธิบดีกรมการค้าภายใน เผยเร็วๆ นี้จะเชิญตัวแทนสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่มาหารือถึงสถานการณ์ราคาไข่ไก่ โดยจะขอความร่วมมือให้ตรึงราคาไข่คละหน้าฟาร์มไม่ให้เกินฟองละ 3.3 บาท ซึ่งหากตรึงไว้ที่ราคาดังกล่าว ผู้เลี้ยงไก่ไข่ต้องการให้กรมทำแผนรองรับการดูแลต้นทุนไม่ให้ขยับขึ้นไปมากกว่านี้
  • คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) เห็นชอบการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลลง 0.4 บาทต่อลิตร จากเดิม 1.3 บาทต่อลิตร เหลือเป็น 0.9 บาทต่อลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันประเภทอื่นๆไม่เปลี่ยนแปลง
  • ตลาดหลักทรัพย์ คาดจำนวนบัญชีแตะ 1 ล้านปีหน้า ไม่หวั่นต่างชาติขายแสนล้าน ฉุดหุ้นตก ยอดนักลงทุนหน้าใหม่หาย แต่ทั้งปียังโตตามเป้า เชื่อหากสถานการณ์ตลาดโลกฟื้นนักลงทุนจะกลับมา จับมือสถาบันการเงินออกสินค้าใหม่อิงหุ้นต่างชาติปีหน้าช่วยนักลงทุนบริหารความเสี่ยง ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นทรุด 15 จุด ต่างชาติขาย5.7 พันล้านบาท โบรกเกอร์แนะหยุดลงทุนแนวโน้มยังไม่ดี
  • สำนักงานนโยบายเศรษฐกิจมหภาคสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า ในเดือน ก.ย.นี้ สศค.จะมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจจีนอีกครั้ง หลังจากไตรมาสแรกโต 7.7% และไตรมาส 2 ตัวเลขเศรษฐกิจจีนลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 7.5% ทำให้เศรษฐกิจจีนครึ่งปีแรกเติบโต 7.6% จึงคาดว่าปีนี้จะไม่เห็นการเติบโตเศรษฐกิจจีนเป็นเลขสองหลักอีกแล้ว

*หุ้นเด่นวันนี้

  • SVI(เกียรตินาคิน)"ซื้อเก็งกำไร"เป้า 3.50 บาท มองราคาหุ้นจะได้ประโยชน์ในเชิง Sentiment จากการที่เงินบาทอ่อนค่า 3.4% เหนือระดับ 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐแล้ว เบื้องต้นประเมินทุกการอ่อนค่าลง 1% กำไรปกติของ SVI จะเพิ่มขึ้น 5% QoQ แนวโน้มยอดขายในครึ่งปีหลังกลับมามีโมเมนตัมที่ดี โดยเฉพาะไตรมาสที่ 3-4 ที่เป็นช่วง High Season ประเมินกำไรปกติทั้งปี 56 ไว้ที่ 581 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% YoY
  • CENTEL(ฟินันเซีย ไซรัส)"ซื้อ"เป้า 42 บาท ธุรกิจโรงแรมได้อานิสงส์จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่สดใส ช่วยชดเชยธุรกิจอาหารที่ชะลอตัวลงได้ ล่าสุด Occupancy rate เดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นเป็น 80% จาก 65% ใน 3Q12 โดยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2013 ขึ้นเล็กน้อย 1% เป็น 1,566 ล้านบาท +34% Y-Y
  • IRPC(ฟินันเซีย ไซรัส)"ซื้อ"เป้า 4.40 บาท เชื่อผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1H13 ที่ขาดทุนสุทธิถึง 1 พันล้านบาท แนวโน้มจะดีขึ้นเพราะเศรษฐกิจยุโรปที่เริ่มฟื้นช่วยชดเชยจีนที่ชะลอได้ ขณะที่สต๊อกสินค้าทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ กำลังการผลิตใหม่ๆเข้าสู่ตลาดน้อยลง และราคาสินค้าปิโตรโดยเฉพาะเม็ดพลาสติก PP ซึ่งเป็นสินค้าหลัก สูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ส่วนขยายของ EBSM จะเริ่มผลิตในส.ค.นี้ ช่วยเพิ่มกำไรปีละ 372 ล้านบาท ปัจจุบันหุ้นซื้อขายที่ PBV เพียง 0.8 เท่า
  • KBANK(กรุงศรี)"ซื้อ"เป้า 232 บาท จากมุมมองต่ออัตราการเติบโตของกำไรต่อเนื่อง และคุณภาพสินเชื่อที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงการลงทุนจากผลกระทบกระแสเงินทุนไหลออกอาจกดดันราคาหุ้นผันผวนในระยะสั้น พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 56 ที่ 41.3 พันล้านบาท เติบโต 17.1%YoY เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของสินเชื่อ, รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเติบโต, รายได้ค่าเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น และอัตราภาษีลดลงที่ 20% จาก 22.7% ในปี 55

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ