นายชาญวุทธ เตชะอมรธนกิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา คาดว่า กำไรของ TOP ทั้งปี 56 จะอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท แนวโน้มการเติบโตช่วงครึ่งปีหลังยังมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากค่าการกลั่นที่กลับมาฟื้นตัวตามฤดูกาล และราคาน้ำมันดิบดูไบที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้มีกำไรจากสต็อกน้ำมันจำนวนมาก รวมทั้งกำลังการกลั่นเริ่มกลับเข้ามาสู่ระดับปกติ หลังจากที่ไตรมาส 2/56 มีโรงกลั่นที่ต้องมีการปิดซ่อมบำรุงไปบางส่วน
มองผลกระทบจากสถานการณ์ในซีเรียที่ส่อเค้าว่าจะเข้าสู่ภาวะสงครามเป็นผลดีต่อ TOP เนื่องจากทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอีกได้ ซึ่งจะทำให้กำไรจากสต็อกน้ำมันเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามแนวโน้มราคาน้ำมันว่าจะเป็นอย่างไร เพราะในทางกลับกันหากปรับตัวลดลงก็จะส่งผลทำให้ TOP มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันได้ด้วย
นางสาวนลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ให้เหตุผลที่ แนะนำ"ซื้อ"TOP เพราะมองว่าแนวโน้มครึ่งปีหลังปีนี้ผลประกอบการจะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรก และในช่วงไตรมาส 4/56 จะเป็นช่วงฤดูหนาวที่ความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ส่งผลให้ TOP มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน
นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาเพิ่มอีก คือ จากประเด็นข่าวที่ทางการจีนอาจจะสั่งระงับใบอนุญาตสร้างโรงกลั่นใหม่ในประเทศของ 2 บริษัทใหญ่ คือ PetroChina และ Sinopec เนื่องจากต้องการกลับมาทบทวนเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก่อน ทำให้ Supply ใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดต้องล่าช้าออกไป ส่งผลดีต่อค่าการกลั่นที่จะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงในระยะเวลา 1-2 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม หากราคาน้ำมันปรับตัวลดต่ำลงกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็จะส่งผลกระทบให้ TOP มีผลประกอบการออกมาไม่ดี แต่มองว่าคงจะไม่เกิดขึ้นในระยะใกล้ๆ นี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัว คาดว่าราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 105-110 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคเคเทรด มองแนวโน้มระยะสั้นๆนี้ ผลประกอบการ TOP มีแนวโน้มเติบโตขึ้น และค่าการกลั่นยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับ แนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ลดความเสี่ยงการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันและกลับมาเป็นกำไร ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของ TOP พลิกกลับเป็นกำไรได้ในไตรมาส 3/56 ทั้งนี้ มองว่าราคาน้ำมันในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ 105-107 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ขณะเดียวกัน มองแนวโน้มระยะยาวยังมีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้นจากความเป็นไปได้ที่ประเทศจีนจะหยุดแผนการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ในอนาคต ซึ่งหากมีการหยุดจริงก็จะเป็นผลบวกในระยาวกับตัวโรงกลั่น เพราะที่ผ่านมาแผนการขยายกำลังการผลิตในภูมิภาค รวมถึงกลุ่มตะวันออกกลางมีมากเกินกว่าความต้องการในอนาคต สะท้อนภาพทางลบกับค่าการกลั่น ดังนั้น หากประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้นจริงก็จะลดความเสี่ยงเรื่องค่าการกลั่นลงไปได้