(เพิ่มเติม) ตลท.รับหลักทรัพย์ BKD เข้าเทรดวันแรกใน mai วันที่ 25 ก.ย.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 24, 2013 13:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) รับหลักทรัพย์ บมจ.บางกอก เดค-คอน (BKD) เข้าซื้อขายในตลาด เอ็ม เอ ไอ วันที่ 25 ก.ย. 56 โดยใช้ชื่อย่อ BKD โดยมีจำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ 700 ล้านหุ้น จำนวนหุ้นชำระแล้ว ราคา Par 0.50 บาทต่อหุ้น เสนอขาย IPO จำนวน 180 ล้านหุ้น จากราคา IPO 1.50 บาท

นางสาวปวีณา ศรีโพธิ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า BKD จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 25 กันยายน 2556 โดย BKD ดำเนินธุรกิจให้บริการตกแต่งภายในอาคาร ประเภทคอนโดมิเนียม โรงแรม สำนักงาน ห้างสรรพสินค้าและสถานที่ราชการ เป็นต้น โดยรับจัดหาวัสดุอุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์ ดูแลงานก่อสร้างและติดตั้งจนแล้วเสร็จ ผลงานของบริษัทที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการโรงแรมอมารีหัวหิน โครงการอาคารสำนักงานใหญ่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โครงการห้องประชุมและอาคารสำนักงานของกลุ่มบริษัท ปตท. เป็นต้น

BKD มีทุนชำระแล้ว 350 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 520 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 180 ล้านหุ้น โดยบริษัทเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 16-18 กันยายน 2556 ในราคาหุ้นละ 1.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 270 ล้านบาท โดยมีบริษัท บางกอก ซิตี้ แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบล.เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นางนุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ BKD เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ระดมทุนได้ในครั้งนี้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนทางธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง และขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศเพื่อรองรับการเปิดเสรีการค้า (AEC)พร้อมมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจบริการรับเหมาตกแต่งภายในครบวงจรของประเทศ

BKD มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 4 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มครอบครัวรัตนสุวรรณชาติ ถือหุ้น 73.57% นายอรรณพ ลิ้มประเสริฐ ถือหุ้น 2.86% นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล ถือหุ้น 2.86% และนางวรพรรณ จึงทรัพย์ไพศาล ถือหุ้น2.86%

การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) 11.54 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัท 4 ไตรมาสที่ผ่านมา (1 กรกฎาคม 2555 ถึง 30 มิถุนายน 2556)หลังหักรายการพิเศษ หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (Fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.13 บาท

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และสำรองตามกฎหมาย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ