“แนวคิดหลักของกองทุนรูปแบบใหม่นี้อยู่บนหลักการของ “Customer Centric" ที่เป็นแนวทางหลักในการทำงานของ บลจ.ทหารไทย โดยเราพบว่ามีผู้ลงทุนจำนวนมากที่ต้องการการออมหรือลงทุนโดยมีเหตุผลหลักเพื่อรักษาเงินต้นและช่วยป้องกันเงินเฟ้อ รวมถึงจะพึงพอใจมากขึ้นหากการออมหรือการลงทุนนั้นได้สร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันผู้ลงทุนกลุ่มดังกล่าวนี้ก็ยังไม่ต้องการลงทุนในหุ้นแบบเต็มตัวเพราะกลัวความเสี่ยงหรือความผันผวนของหุ้นที่สูงเกินไป ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ทางบริษัทฯจึงได้คิดค้นนวัตกรรมกองทุนรวมที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถได้ประโยชน์จากการเติบโตของหุ้น ในขณะเดียวกันก็สามารถก้าวข้ามความผันผวนระหว่างการลงทุนได้"นายสมจินต์ กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับกองทุนเปิดทหารไทย คอมเพล็คซ์ รีเทิร์น เซ็ท 50-ลิงค์ ที่ออกใหม่นี้จัดเป็นกองทุนรวมประเภท “Complex Return Fund" หรือ“กองทุนรวมที่จ่ายผลตอบแทนแบบซับซ้อน"แบ่งเงินลงทุนออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงไม่มากนัก โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาเงินลงทุนเริ่มต้นจำนวนหนึ่งหรือทั้งหมดไว้เมื่อครบอายุกองทุน ขณะที่เงินลงทุนอีกส่วนจะนำไปลงทุนใน Structured Note (ตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง) ซึ่งกำหนดเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนที่อ้างอิงกับการเปลี่ยนแปลงระดับดัชนี SET50 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนเมื่อระดับดัชนี SET50 ณ สิ้นวันอยู่ในระดับเดิมหรือปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อดัชนีปรับลดลง ผู้ลงทุนก็ไม่ต้องรับความเสี่ยงและความผันผวนที่สูงเท่ากับการลงทุนในดัชนี SET50 โดยตรง
กองทุนนี้มีอายุประมาณ 2 ปี และกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนสูงสุดอยู่ที่ 16%(หรือคิดเป็น 8% ต่อปี)แบ่งการจ่ายผลตอบแทนทุกๆ 3 เดือนรวมเป็น 8 งวด คิดเป็น 2%ต่องวด โดยในแต่ละงวดนั้นมีเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนเมื่อระดับดัชนี SET50 ณ สิ้นวันของงวดนั้นมีระดับไม่ต่ำกว่าระดับดัชนี SET50 ณ วันเริ่มต้นกองทุน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทน ในงวดนั้น หากดัชนีอยู่ในระดับเดิม หรือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ผู้ลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนรายงวดแล้ว สำหรับการจ่ายคืนเงินต้นเมื่อครบอายุกองทุนนั้น มีเงื่อนไขคือหากระดับดัชนี SET50 ณ วันครบอายุกองทุน ปรับตัวลงแต่ไม่เกินกว่าร้อยละ20 ผู้ลงทุนจะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน แต่หากระดับดัชนี SET50 ปรับลงมากกว่าร้อยละ 20 ของดัชนี ณ วันเริ่มต้น ผู้ลงทุนจะได้รับเงินต้นคืนเพียงร้อยละ 80
ด้านนายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทหารไทย อธิบายรูปแบบกองทุนเพิ่มเติมว่า หากจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้นก็คือ ณ วันครบอายุกองทุน แม้ระดับดัชนี SET50 จะปรับลดลง 10-15% ผู้ลงทุนก็จะไม่ขาดทุนและรับเงินต้นคืนเต็มๆ แต่หากเกิดวิกฤติที่รุนแรงและดัชนี SET50 ปรับลดลงอย่างมาก เช่น ปรับลดลงร้อยละ 50 ผู้ลงทุนก็จะยังคงได้รับเงินต้นคืนถึงร้อยละ 80 โดยไม่ต้องรับผลขาดทุนที่มากกว่านี้ นี่คือข้อดีที่แตกต่างจากการลงทุนในกองทุนหุ้นโดยตรง นอกจากนั้น ทางบริษัทฯ ได้ทำการศึกษาย้อนหลัง (Back-testing) เริ่มตั้งแต่ปี 2543 พบว่ามีโอกาสเพียง 8.9% ที่ผู้ลงทุนจะได้รับเงินต้นคืนไม่เต็มจำนวน และมีโอกาสถึง 81.1% ที่จะได้รับ ผลตอบแทนอย่างน้อย 8% ในระยะเวลา 2 ปี (หรือได้ผลตอบแทนอย่างน้อย 4 งวด จาก 8 งวด)
ดังนั้น จะเห็นได้ว่ากองทุนลักษณะดังกล่าว แม้จะไม่ได้รับผลตอบแทนโดยตรงจากหุ้น แต่ก็ช่วยให้ผู้ลงทุนได้ประโยชน์จากการปรับเพิ่มขึ้นของดัชนี SET50 ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ดัชนี SET50 จะประกอบด้วยหุ้นจดทะเบียนของบริษัทขนาดใหญ่ชั้นนำของไทย (Blue-Chips) 50 บริษัท อาทิ ปตท., ปูนซิเมนต์ไทย, ซีพีหรือเครือเจริญโภคภัณฑ์ ธนาคารชั้นนำ ของประเทศเป็นต้น บริษัทเหล่านี้มีแบรนด์ที่โดดเด่น มีศักยภาพการเติบโตอย่างเข้มแข็งในระยะยาว ผู้ลงทุนจึงสามารถมั่นใจได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว และในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ เลวร้ายขึ้น หากไม่เลวร้ายจนทำให้ดัชนี SET50 ลดลงอย่างมากจริงๆ ก็จะยังได้รับเงินต้นที่ลงทุนคืนเต็มจำนวน กองทุนประเภท Complex Return Fund นี้ จึงถือเป็นตัวเลือกหนึ่ง ที่สามารถเลือกลงทุนได้ ในยามที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนเช่นในปัจจุบัน