SITHAI ปักธงรุกอินเดีย-อินโดฯ-เวียดนามหลังตลาดในประเทศโตยาก-ปิดรง.ในจีน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 25, 2013 10:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์(SITHAI)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับงบลงทุนรวมในปี 57 จากปีนี้ที่ตั้งไว้ 1.6 พันล้านบาท แต่ใช้จริงไม่ถึงที่กำหนดไว้ ซึ่งเบื้องต้นบริษัทเตรียมเงินลงทุนสำหรับการรุกขยายธุรกิจในต่างประเทศกว่า 400 ล้านบาทในปีหน้า เน้นไปที่ 3 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม หลังจากมองว่าตลาดในประเทศเติบโตได้ยากขึ้น
"เราขยายตลาดในอาเซียนและอินเดียเป็นตลาดใหญ่ อนาคตอยู่เมืองไทยคงไม่โต ในไทยตอนนี้ยังดูอยู่ว่าจะต้องลงทุนในส่วนไหนบ้างปรับงบลงทุนอยู่ ซึ่งต้องดูดีมานด์ในประเทศเพราะการลงทุนในประเทศคงลดลง กำลังซื้อในประเทศลดลง ก็จะเน้นขยายในต่างประเทศมากขึ้น"นายสนั่น กล่าว

ก่อนหน้านี้ บริษัทตัดสินใจปิดโรงงานผลิตเมลามีนในกรุงปักกิ่งของจีน หลังจากดำเนินกิจการมาแล้ว 22 ปี ด่วยเงินลงทุนเริ่มต้น 25 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนค่าแรงสูงขึ้น ขณะที่ยอดขายก็ไม่ได้มากหรือมีไม่ถึง 100 ล้านบาท/ปี และคนจีนก็นิยมใช้ผลิตภัณฑ์กระเบื้องมากกว่าเมลามีน

นายสนั่น กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างสรั้างโรงงานผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เมลามีนในอินเดีย หลังจากซื้อที่ดินไว้แล้ว ราว 60 ล้านบาท ขั้นตอนในขณะนี้กำลังเตรียมเปิดประมูลหาผู้รับเหมา และอยู่ขออนุมัติทางการในการสร้างโรงงาน คาดว่าจะเริ่มผลิตได้อย่างเร็วสุดไตรมาส 3/57(ส.ค.-ก.ย.)กำลังการผลิตเริ่มแรก 30 เครื่อง จากเป้าหมายที่จะมีครบ 100 เครื่องในปี 59 ใช้เงินลงทุนทั้งโครงการราว 300 ล้านบาท แต่ในปึหน้าคงใส่เงินไม่ถึง 100 ล้านบาทสำหรับเครื่องจักร

ส่วนในเวียดนาม บริษัทมีแผนจะตั้งโรงงานใหม่อีก 1 โรงที่ฮานอยในปี 57 เพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับเครื่องดื่ม จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 2 โรงที่โฮจิมินท์ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเมลามีน และยังมีแผนขยายกำลังการผลิตโรงงานเดิมทั้ง 2 แห่ง โดยจะซื้อเครื่องจักรเข้ามาเพิ่มเป็น 50 เครื่อง งบลงทุนรวม 300 ล้านบาท แต่ปี 57 จะใช้เงินลงทุนราว 90 ล้านบาท

ขณะที่แผนงานในอินโดนีเซียจะตั้งโรงงานใหม่อีก 1 แห่งในกรุงจาการ์ต้าเพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับน้ำดื่ม เป็นการร่วมทุนที่ขณะนี้เจรจากับผู้สนใจ 2 ราย ซึ่งจะคัดเลือกเหลือเพียงรายเดียว ใช้งบลงทุนในโครงการรวม 300 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่าบริษัทจะต้องถือหุ้นใหญ่ เพราะต้องจัดส่งบุคลากรและใช้เทคโนโลยีของบริษัทในการผลิต คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้

"อินโดฯน่าจะสรุปภายในปีนี้แน่นอนว่าจะทำจอยเวนเจอร์อย่างไร ซึ่งมีพาร์ทเนอร์ 2 ทางให้เราเลือก อยู่ระหว่างเจรจาและจะลงทุนกี่เปอร์เซนต์ แต่ไปแน่เพราะมีตลาดอยู่แล้ว"นายสนั่น กล่าว

*ตั้งเป้าปี 57 รายได้โต 15% หลังปีนี้รับผลกระทบศก.ชะลอ-บาทผันผวน

นายสนั่น กล่าววว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมทั้งกลุ่มในปี 57 ที่ประมาณ 11,300 ล้านบาท เติบโต 15% จากปีนี้ ซึ่งรวมไปถึงรายได้จากต่างประเทศด้วย โดยหวังว่ากำลังซื้อจะปรับตัวดีขึ้นตามภาพรวมเศรษฐกิจ หลังจากเกิดความผันผวนอย่างมากในปีนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีแผนปรับขึ้นราคาขายสินค้า เนื่องจากเพิ่งมีการปรับไปในปีนี้

"ปีหน้าหวังว่ากำลังซื้อน่าจะดีขึ้นเล็กน้อยเพราะเศรษฐกิจที่จะกระเตื้องขึ้นซึ่งหลังผันผวนมาก...ในปีหน้ายังไม่มีแผนปรับราคาขาย เพราะปีนี้เพิ่งปรับราคาขายไป 5-10% ตั้งแต่ไตรมาส 2 แต่ที่กำไรไม่ได้ดีขึ้นมากเพราะต้นทุนปรับขึ้นมา ไฟฟ้าก็แพงขึ้น ลอจิสติกส์ก็แพงขึ้น แต่เราจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 20%"นายสนั่น กล่าว

ส่วนผลประกอบการในปีนี้ บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายยอดขายรวมเหลือโต 13% หรือมียอดขายรวมประมาณ 9,800 ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 14% จากปีก่อนที่มีรายได้ราว 8,909 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และมีบางส่วนที่ลูกค้ามีคำสั่งซื้อมา แต่หลังจากอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน ทำให้บริษัทปรับรูปแบบคำสั่งซื้อของลูกค้ามาเป็นการจ้างผลิตแทน โดยส่งวัตถุดิบมาให้กับบริษัทผลิต ทำให้รายได้ที่เป็นตัวเลขลดลง

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในขณะนีดีขึ้นแล้ว เพราะใกล้ปลายปีที้เป็นช่วงฤดูการขาย เชื่อว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังก็น่าจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก

ปัจจุบัน ธุรกิจของกลุ่มบริษัทแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ จานชามเมลามีน มีสัดส่วนรายได้กว่า 20% ซึ่งขณะนี้ยอดขายตกลงไป เพราะถือเป็นของใช้ที่ไม่ได้จำเป็นนและเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความคงทนด้วย โดยกำลังซื้อลดลงประมาณ 10% ส่วนสินค้าพลาสติกที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่มสัดส่วนรายได้ 70% ตัวเลขยอดขายพุ่งขึ้นมาชดเชยกันได้บ้าง ยอดขายจึงไม่พลาดเป้าหมายมากนัก ขณะที่ธุรกิจเครือข่ายขายตรง SNatur (อาหารเสริม) มีสัดส่วนรายได้ราว 5%

นายสนั่น กล่าวอีกว่า กำไรในปีนี้จะสูงกว่าปีก่อนหรือไม่ยังตอบได้ยาก เพราะมีหลายปัจจัยเข้ามากระทบ ทั้งกำลังซื้อน้อยลง ต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำ วัตถุดิบก็ปรับขึ้นราคาและมีความผันผวนสูง เช่นเดีบกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน โดยวัตถุดิบหลักเป็นเม็ดพลาสติกและผงเมลามีน ซึ่งราคามึความเกี่ยวผันกับราคาน้ำมันและค่าเงินดอลลาร์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ