ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร SYNTEC ที่ระดับ BBB- แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 29, 2013 15:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) ที่ระดับ “BBB-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลงานที่ผ่านมาของบริษัทในงานโครงการก่อสร้างอาคารสูงและมูลค่างานในมือในระดับปานกลาง ทว่าจุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนความเสี่ยงจากลักษณะงานก่อสร้างที่ไม่หลากหลาย และภาระหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทจะยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 โดยที่แรงกดดันด้านต้นทุนค่าก่อสร้างน่าจะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ และบริษัทจะไม่มีการตั้งสำรองขาดทุนจากโครงการบ้านเอื้ออาทรเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังคาดว่าการลงทุนในโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์จะไม่ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มเกินกว่า 50% หรืออัตราส่วนหนี้มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเกินกว่า 1 เท่า

บริษัทซินเท็ค คอนสตรัคชั่นก่อตั้งในปี 2531 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 บริษัทเป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างที่เน้นรับงานโครงการก่อสร้างอาคารสูงภาคเอกชน บริษัทมีรายได้ในปี 2555 อยู่ที่ 4.9 พันล้านบาท และรายได้ในปี 2556 คาดว่าจะอยู่ที่ 6 พันล้านบาท รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90% ของรายได้รวมของบริษัท สถานะทางธุรกิจในระดับปานกลางของบริษัทสะท้อนถึงผลงานก่อสร้างโครงการอาคารสูงเพื่อพักอาศัยและเพื่อการพาณิชย์ที่ผ่านมาในเขตกรุงเทพฯ ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและมีความน่าเชื่อถือในระดับที่ยอมรับได้

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทรับรู้รายได้จากโครงการของ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของรายได้รวม ในขณะที่โครงการที่รับรู้รายได้สูงสุดของบริษัทในแต่ละปีคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของรายได้รวม บริษัทมีความเสี่ยงจากการจ่ายเงินล่าช้าและการมีข้อพิพาททางกฎหมายกับเจ้าของโครงการ

ณ เดือนมิถุนายน 2556 บริษัทมีงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบมูลค่า 7.5 พันล้านบาท ซึ่งทริสเรทติ้งประเมินว่าเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของประมาณการรายได้พื้นฐานของบริษัทจนถึงปี 2557 ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะรับรู้ประมาณครึ่งหนึ่งของมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบในครึ่งหลังของปี 2556 และส่วนที่เหลือในปี 2557

บริษัทมีผลประกอบการทางการเงินในปี 2555 ที่อ่อนแอ แต่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 โดยสถานะทางการเงินยังคงยังอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประมาณการของทริสเรทติ้งซึ่งได้คำนึงถึงผลกระทบจากอุทกภัยเมื่อช่วงปลายปี 2554 รวมไปถึงการปรับขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 และผลขาดทุนจากโครงการบ้านเอื้ออาทร

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 บริษัทมีอัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ที่ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 3.6% เปรียบเทียบกับ 1.8% ในช่วงปี 2554-2555 โดยการปรับตัวที่ดีขึ้นของอัตราส่วนกำไรสะท้อนถึงการทยอยส่งมอบโครงการที่บริษัทลงนามในสัญญาก่อนปี 2555 ซึ่งเป็นโครงการที่ยังไม่ได้ปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเต็มจำนวน อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 อยู่ที่ 23.7% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับเมื่อช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 6-6.7 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งรวมถึงรายได้จากการเช่าโครงการลงทุนใหม่ในธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 100 ล้านบาทในปี 2557 และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 500 ล้านบาทในปี 2560

บริษัทวางแผนจะลงทุนประมาณ 2 พันล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้าเพื่อพัฒนาโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ 4 แห่งโดยเน้นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติในกรุงเทพฯ ศรีราชา และจังหวัดอื่น ๆ ทั้งนี้ โอกาสที่รายได้จากการก่อสร้างของบริษัทจะเติบโตสูงกว่าประมาณการมีค่อนข้างจำกัดเนื่องจากตลาดคอนโดมิเนียมในเมืองคาดว่าจะเติบโตในอัตราค่อนข้างคงที่ ในขณะที่โอกาสที่รายได้ของบริษัทจะต่ำกว่าประมาณการอาจเกิดขึ้นได้จากการที่บริษัทมีมูลค่างานในมือที่จะรับรู้เป็นรายได้หลังปี 2557 ในระดับที่ต่ำมาก ประกอบกับความเสี่ยงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยอาจชะลอตัวลงได้

จากประมาณการพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจากประมาณ 4% ในปี 2556 มาอยู่ที่ประมาณ 6%-7% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อปี

แผนการลงทุนในโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์คาดว่าจะทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นจาก 29.7% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 ไปที่ระดับสูงสุดประมาณ 50% ในปี 2559 ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมและอัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะอ่อนแอลงเนื่องจากภาระหนี้ที่สูงขึ้น แต่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบัน โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 10% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 3.5 เท่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ