บล.เคเคเทรด ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินมูลค่าเหมาะสมของหุ้น บมจ.เอไอ เอนเนอร์จี(AIE)เท่ากับ 5 บาท พบว่า PER ที่ใช้ในการประเมินมูลค่าเหมาะสมของ AIE สูงกว่าอุตสาหกรรม 18% เป็นผลมาจากการเติบโตของกำไรสุทธิปี 2557 ที่สูงถึง 77% YoY ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
ปัจจัยบวกที่ทำให้ผลประกอบการปี 2556 พลิกกลับมาเป็นกำไรส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 350 ตัน มาเป็น 1,150 ตันน้ำมันปาล์มดิบต่อวัน ตั้งแต่ ก.พ. 2556 ทำให้ AIE มีกำไรสุทธิในช่วง 9M56 อยู่ที่ 142 ล้านบาท คิดเป็น 71% ของประมาณการ โดยคาดหมายจะเห็นกำไรสุทธิใน 4Q56 ไม่น้อยกว่า 39 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิปี 2556 ไม่น้อยกว่า 181 ล้านบาท ตามที่คาดการณ์ไว้ พลิกจากผลขาดทุน 97 ล้านบาทที่เกิดขึ้นในปี 2556
ขณะที่ปี 2557 คาดกำไรสุทธิไว้ที่ 320 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77%YoY กำไรต่อหุ้น 0.3 บาท เพิ่มขึ้น 28%YoY (Fully Dilution) โดยผลประกอบการจะได้ประโยชน์จากนโยบายของภาครัฐฯ ในการประกาศเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลจาก 5% เป็น 7% ซึ่งจะทำให้เกิดความต้องการใช้น้ำมันไบโอดีเซลเพิ่ม 40%YoY ในส่วนของ AIE คาดว่าบริษัทจะมียอดขายไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นจาก 3 แสนลิตรต่อวันในปี 2556 เป็น 3.9 แสนลิตรต่อวันในปี 2557 เพิ่มขึ้น 30% รวมทั้งการรับรู้กำลังการผลิตไบโอดีเซลใหม่เต็มปี ขณะที่การเริ่มดำเนินการผลิตไบโอดีเซลจากหอกลั่นใหม่ จะทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิตลง สะท้อนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เราคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1.8% ในปี 2555 มาเป็น 9.6% และ 10.1% ในปี 2556-2557 ตามลำดับ
AIE ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันไปโอดีเซล (B100) ด้วยกำลังการผลิต 1.15 ล้านตันน้ำมันปาล์มดิบต่อวัน มีธุรกิจท่าเทียบเรือและคลังน้ำมันเชื้อเพลิงและทำธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเล สัดส่วนรายได้ของ AIE ใน 9M56 กว่า 96% มาจากการขาย B100 การเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ AIE จะนำเงินที่ได้ไปชำระคืนเจ้าหนี้สถาบันการเงิน 450 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนในเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและปรับปรุงกระบวนการผลิต B100 รวมทั้งใช้เป็นเป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 326 ล้านบาท โดย AI ในฐานผู้ถือหุ้นใหญ่ลดสัดส่วนลงเหลือ 60%