ทั้งนี้ จากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 2.25% ในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทยคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวน่าจะมีแนวโน้มทรงตัวต่อไปหรืออาจมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาได้อีก จากการที่เศรษฐกิจไทยยังคงเปราะบางและมีความไม่แน่นอนจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ
ในขณะที่ภาวะตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่มีทางออกที่ชัดเจน ซึ่งต้องจับตามองสถานการณ์การประกาศปิดกรุงเทพฯในวันที่ 13 ม.ค.อย่างใกล้ชิด โดยผู้ลงทุนระยะสั้นอาจจะชะลอการเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงดังกล่าวเพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ระหว่างนี้สามารถเลือกพักเงินกับกองทุนตราสารหนี้แบบกำหนดอายุโครงการ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำและยังคงให้โอกาสรับผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ
"สืบเนื่องมาจากสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงนี้ เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์ที่เคยให้ผลตอบแทนสูง เช่นการลงทุนในตราสารทุน ซึ่งอาจมีความเสี่ยงและยังคงมีความผันผวนในระดับสูง การเลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำจึงมีความน่าสนใจ และยังคงให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ โดยผู้ลงทุนควรพิจารณาช่วงจังหวะในการลงทุน ประกอบกับการประเมินทิศทางดอกเบี้ยที่คาดว่าอาจจะมีการปรับตัวลดลงได้อีก ซึ่งบลจ.กสิกรไทยแนะนำให้ผู้ลงทุนล็อกโอกาสรับผลตอบแทนไว้ก่อนโดยการพักเงินกับกองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการ เพื่อรอดูทิศทางเศรษฐกิจต่อไป"นางสาวยุพาวดี กล่าว
สำหรับกองทุน KFI3MDT เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝากของ Bank of China, สาขามาเก๊า และเงินฝากของ Garanti Bank, ประเทศตุรกี ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ A และ BBB- ตามลำดับ นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารธนชาต ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch ประเทศไทย ที่ระดับ A+, AA- และ AA- ตามลำดับ โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
นอกจากนี้ เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก ในช่วงเวลาเดียวกัน บลจ.กสิกรไทยจะเปิดขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ดีแอล (KPPTF3MDL) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ 2.30% ต่อปี