บลจ.แอสเซทพลัส ตั้งเป้า AUM ปีนี้โต 25% แตะ 3.5 หมื่นลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 9, 2014 12:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายรัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แอสเซทพลัส เปิดเผยว่า ในปี 57 บลจ.ตั้งเป้าการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (AUM) เพิ่มขึ้นเป็น 3.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 25% จาก 2.9 หมื่นล้านบาท มาจากกองทุนรวม 70% และกองทุนส่วนบุคคล 30% โดยจะเน้นการออกกองทุนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก ครอบคลุมภูมิภาคและประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ทั้งเอเชีย ยุโรป สหรัฐฯ

AUM ของกองทุนรวมจะเติบโตจากกองทุนที่เสนอขายใหม่ในปีนี้ 60% และจากกองทุนรวมเดิมที่มีอยู่ของ 40% โดยในปีนี้บริษัทมีแผนเสนอขายกองทุนรวมไม่ต่ำกว่า 10 กองทุน มูลค่ารวม 5,400 ล้านบาท เน้นลงทุนในตลาดหุ้นไทยและกองทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นและมีความเชี่ยวชาญในสินทรัพย์คุณภาพ โดยกลางเดือน ม.ค.57 จะเสนอขายกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นยุโรป กลุ่มอุตสาหกรรม กองทุนพลังงานทางเลือกทั้งในและต่างประเทศในแถบเอเชีย เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุนของลูกค้าให้ได้มากที่สุด

"เรามีการออกกองทุนใหม่โดยไตรมาส 1 นี้จะมีทั้งหมด 10 กองทุน ซึ่งถ้าผ่านไตรมาส 1 ไปจะประเมินแนวโน้มตลาดอีกครั้งว่าจะออกกองเพิ่มหรือไม่ โดยจะเน้นการลงทุนตลาดทั่วโลก ซึ่งทางบลจ.ได้แนะนำนักลงทุนให้รับรู้ถึงผลกำไรและผลตอบแทน และให้รู้ถึงการลงทุนในตลาดหุ้นโลกเป็นสิ่งสำคัญในปีนี้ เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น ซึ่งจะเน้นประเทศในกลุ่มยุโรปเป็นหลัก" นายรัชต์ กล่าว

สำหรับภาพรวมการลงทุนในปีนี้ตลาดหุ้นไทยยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงครึ่งหลัง หากปัจจัยการเมืองคลี่คลาย โดยปัจจับัน valuation ของดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 11.5 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต และมี valuation ที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม TIPs ซึ่งถือว่าต่ำกว่าระดับปกติ โดยหลังจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวและราคาหุ้นเริ่มปรับจากปัจจัยต่างๆ เช่น การผ่อนคลายมาตรการการเงินของสหรัฐ จะส่งผลให้ SETINDEX จะกลับสู่ภาวะปกติที่ 12-14 เท่า ขณะที่คาดว่าการเติบโตของผลประกอบการ บจ.ในปีนี้ จะอยู่ที่ 10% เติบโตลดลงจากปี 56 ที่โต 15% จะส่งผลให้ดัชนีแตะระดับ 1,500 จุดในปีนี้ได้

บริษัทจึงเน้นที่จะเสนอขายกองทุนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากคาดว่าจะเติบโตได้ดี โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มยุโรปที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวหลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายนโยบายรัดเข็มขัดและเอกชนเพิ่มการลงทุนเพิ่มขึ้นหลังจากชะลอการลงทุนช่วงเศรษฐกิจซบเซา รวมถึงญี่ปุ่นจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการออ่อนค่าของเงินเยนซึ่งส่งผลดีต่อภาคการส่งออก และสหรัฐยังมีการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อีกทั้งจีนมีนโยบายการปฏิรูปส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจระยะยาวจาก valuation ที่น่าสนใจและแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจน

"แนะนำนักลงทุนถ้าจะมีการลงทุนในหุ้นช่วงนี้ ให้มองการลงทุนในระยะยาว 1-2 ปีข้างหน้ามากกว่าระยะสั้น เนื่องจากไทยยังต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพิ้นฐาน และมองเห็นการพัฒนาของประเทศที่จะพัฒนาในอนาคต ส่วนการเมืองในประเทศ มองว่านักลงทุนส่วนใหญ่มีการรับข่าวไปพอสมควรแล้วเห็นได้จากดัชนีปรับตัวลงและเริ่มฟื้นตัวขึ้น โดยบลจ.มองว่าการเมืองในประเทศจะสามารถคลี่คลายไปในทางที่ดีได้ และการลงทุนของต่างชาติจะกลับมาได้อย่างรวดเร็ว" นายรัชต์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ