ทั้งนี้ บริษัทได้แต่งตั้งบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญในการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและการเจริญเติบโตทั้งของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน จึงทำให้บริษัทมีแผนขยายธุรกิจและกำลังการผลิตรองรับ พร้อมสร้างโอกาสในการขยายตัวของบริษัท ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการระดมทุนผ่านตลาดทุน
สำหรับเป้าหมายธุรกิจของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่ายอดขายจะเติบโตในระดับเดียวกับในช่วงที่ผ่านมาประมาณ 25% ต่อปี จากยอดขายประมาณ 840 ล้านบาทในปี 56 คาดว่าจากการขยายตัวธุรกิจที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันส่วนของผลิตภัณฑ์ของบริษัทถือว่าได้รับผลมากจากที่ลูกค้าของบริษัทมีการขยายธุรกิจทั้งในส่วนของในประเทศ และโอกาสในการส่งออกไปยังลูกค้าต่างประเทศโดยเฉพาะแถบประเทศ เอ อี ซี โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเวียดนาม กัมพูชา พม่าและลาวในอนาคต
“เป้าหมายในการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นก้าวที่สำคัญ เพราะเมื่อบริษัทได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้วก็จะทำให้มีโอกาสในการที่จะขยายธุรกิจให้เติบโตได้ รวมทั้งยังทำให้มีภาพลักษณ์ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อลูกค้า คู่ค้า ตลอดจนความภาคภูมิใจของพนักงาน"นายธานิน กล่าว
ด้านนายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด(APM)ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้อยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้างของบริษัท และการเตรียมความพร้อมต่างๆ เพื่อรอที่จะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) แก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)โดยจะยื่นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
โอกาสในการเติบโตของบริษัท บางกอกชีทฯ ยังเติบโตได้อีกมาก ดังจะเห็นได้จากยอดขายในช่วง 3 ปี ของบริษัทฯ ตั้งแต่ปี 53-55 เติบโตเฉลี่ย แบบ CAGR อยู่ที่ 25% ซึ่งแสดงถึงยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้การขยายตัวในแถบประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และอุตสาหกรรมในประเทศทั้งในส่วนของโครงข่ายสื่อสาร 3 จี ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายของบริษัท บางกอกชีทฯ มีโอกาสเติบโตจากการขยายในส่วนนี้ ได้อีกมาก ประกอบกับการขยายสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะระบบรางต่างๆ ที่จะต้องใช้รางและท่อร้อยสายไฟ เป็นโอกาสให้ยอดขายในกลุ่มรางและท่อร้อยสายไฟฟ้าที่เป็นรายได้หลักเติบโตขึ้นอีกด้วย
อนึ่ง บริษัท บางกอกชีทเม็ททัล จำกัด มีทุนจดทะเบียน 91 ล้านบาท มีอาคารโรงงานผลิตรวม 3 อาคาร ประกอบด้วย พื้นที่ใช้สอยในการผลิต และคลังสินค้า อาคารสำนักงาน และอาคารศูนย์ฝึกอบรมสัมมนา รวม 16,788 ตารางเมตร หรือเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่เศษ โดยในช่วงเริ่มกิจการสินค้ากลุ่มแรกที่เริ่มทำการผลิตเป็นสินค้ากลุ่มรางร้อยสายไฟฟ้า เพื่อป้อนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง
ปัจจุบันสินค้าของบริษัทฯ สามารถแบ่งได้เป็น 6 หมวดสินค้า คือ รางและท่อร้อยสายไฟฟ้า (Metal Trunking & White Conduit) ตู้สื่อสาร ตู้ไฟฟ้าและตู้โลหะ (Racks, Cabinet & Enclosure) แผงควบคุมไฟฟ้าและโคมไฟฟ้า (Electrical Switchboard & Lighting Fixtures) โลหะเชื่อมประกอบ (Fabrication & Metal Working) เครื่องมือ เครื่องจักรกล และอุปกรณ์ (Tooling, Machine Tool & Equipment) และชิ้นส่วนโลหะ (Metal Part & Assembly Part)