ทริสฯ คงอันดับเครดิต A ที่ “BBB-" ปรับแนวโน้มเป็น “Negative"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 10, 2014 13:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. อารียา พรอพเพอร์ตี้(A) ที่ระดับ “BBB-" ในขณะเดียวกันได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Negative" หรือ “ลบ" จาก “Stable" หรือ “คงที่" เนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัทอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าคาด ตลอดจนอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น และความกังวลต่อความสามารถของบริษัทในการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ซึ่งบริษัทจะต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อส่วนทุนให้ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 2 เท่า

อันดับเครดิตดังกล่าวยังคงพิจารณาถึงผลงานของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลางถึงสูง รวมถึงลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง และความกังวลด้านต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นและภาวะการขาดแคลนแรงงาน

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" สะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่ต่ำกว่าคาดการณ์และความกังวลต่อความสามารถในการปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้ ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำลงกว่าเดิมและไม่สามารถบริหารโครงสร้างทางการเงินให้เป็นไปตามเงื่อนไขของหุ้นกู้ได้ ในทางกลับกัน แนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับเปลี่ยนกลับไปเป็น “Stable" หรือ “คงที่" ได้หากอัตรากำไรจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นถึงที่ระดับประมาณ 10%-15% และบริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่าได้

A ก่อตั้งในปี 2543 โดยกลุ่มตระกูลเลาหพูนรังษี บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนเมษายน 2547 โดยมีนายวิศิษฏ์ เลาหพูนรังษีเป็นประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ กลุ่มเลาหพูนรังษีเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทมาตั้งแต่ก่อตั้ง โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น ณ เดือนตุลาคม 2556 ที่ 42% บริษัทนำเสนอสินค้าที่อยู่อาศัยที่หลากหลายทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียมซึ่งเน้นตลาดระดับราคาปานกลางถึงสูง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2556 บริษัทมีโครงการเหลือขายทั้งหมด 29 โครงการ โดยมีมูลค่าเหลือขายทั้งสิ้นประมาณ 10,800 ล้านบาท จากมูลค่าเหลือขายทั้งหมดคิดเป็นคอนโดมิเนียมจำนวน 57% ทาวน์เฮ้าส์ 36% และบ้านเดี่ยว 7% บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้จำนวน 2,717 ล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการคอนโดมิเนียม

รายได้ของบริษัทผันผวนเนื่องจากการเปิดคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในแต่ละปีมีจำนวนไม่เท่ากัน ตั้งแต่ปี 2552 ยอดขายจากทาวน์เฮ้าส์คงที่ประมาณ 800-1,400 ล้านบาทต่อปี รายได้ของบริษัทเท่ากับ 3,436 ล้านบาทในปี 2552 และ 3,334 ล้านบาทในปี 2553 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากยอดโอนคอนโดมิเนียมโครงการเอสเปซ อโศก-รัชดาฯ จำนวน 1,800-2,200 ล้านบาทต่อปี ยอดขายลดลงเหลือที่ระดับ 1,500 ล้านบาทในปี 2554 และ 1,800 ล้านบาทในปี 2555 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2556 ยอดขายอยู่ที่ 1,262 ล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการทาวเฮ้าส์ กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อยอดขายของบริษัทลดลงจากจุดสูงสุดที่ 21% ในปี 2552 มาอยู่ที่ 9% ในปี 2555

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ณ สิ้นเดือน กันยายน 2556 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อส่วนทุนอยู่ที่ 1.97 เท่า อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเท่ากับ 66% (ไม่รวมมูลค่าปัจจุบันของค่าเช่าที่ดินตลอดอายุสัญญาเช่า) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 62% ในปี 2555 คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นในปี 2557-2558 จากการที่โครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการอยู่ในระหว่างก่อสร้าง กำไรของบริษัทอยู่ในระดับต่ำในขณะที่ภาระหนี้เพิ่มขึ้น จึงทำให้กระแสเงินสดของบริษัทอ่อนตัวลง โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงจาก 2.52% ในปี 2555 ไปอยู่ที่ 1.0% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2556 (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ