TMB แจงปี 56 กำไรก่อนหักสำรองโต 39% จากปีก่อน, NPL ลดเหลือ 3.87%

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 16, 2014 14:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (TMB) กล่าวว่า ปี 56 ธนาคารและบริษัทย่อยมีผลกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองจำนวน 14,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 39% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 5,737 ล้านบาท

ในส่วนของเงินฝาก ธนาคารประสบความสำเร็จในการเพิ่มฐานลูกค้าเงินฝากรายย่อย ทำให้เงินฝากเติบโตประมาณ 33,500 ล้านบาทหรือ 7% จากสิ้นปีก่อนหน้า และฐานเงินฝากของลูกค้ารายย่อยเพิ่มขึ้นเป็น 69% ซึ่งการเติบโตนี้ทำให้ธนาคารมีฐานเงินฝากที่มั่นคงยิ่งขึ้น และในส่วนของสินเชื่อ ธนาคารสามารถขยายสินเชื่อได้ประมาณ 46,800 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการขยายตัวของทั้งสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็ก

ทั้งนี้ เงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดเล็กมีอัตราการขยายตัวมากที่สุด ทำให้ผลตอบแทนของสินเชื่อรวมดีขึ้น ซึ่งเมื่อประกอบกับการบริหารต้นทุนทางการเงินที่ดี ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (Net Interest Margin: NIM) เพิ่มขึ้น เป็น 3.12% จาก 2.73% ในปีก่อนหน้า ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 22% ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น 19% ทำให้ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

“เนื่องจากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น จากการนำ LEAN Six Sigma มาใช้ในธนาคาร ทำให้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเพียง 9% ส่งผลให้ธนาคารมีผลกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองเพิ่มขึ้น 39% และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดียิ่งขึ้น โดยลดลงเหลือ 51% จาก 57% ในปีก่อนหน้า" นายบุญทักษ์ กล่าว

ในปี 56 คุณภาพสินเชื่อของธนาคารปรับตัวดีขึ้นโดยต่อเนื่อง สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) มีจำนวนค่อนข้างคงที่เทียบกับเมื่อสิ้นปีที่แล้ว โดยที่สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) อยู่ที่ 3.58% สำหรับงบเฉพาะธนาคาร และ 3.87% สำหรับงบการเงินรวม จาก 4.10%

อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้ตั้งสำรองพิเศษเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมาโดยนอกเหนือจากสำรองของธุรกิจปกติสุทธิ 2,670 ล้านบาท ในไตรมาส 2/56 ธนาคารได้ตั้งสำรองพิเศษเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากวัฎจักรเศรษฐกิจ (Countercyclical Cushion) จำนวน 4,143 ล้านบาทและไตรมาส 4/56 ธนาคารได้เพิ่มเติมสำรองทั่วไปอีก 800 ล้านบาทเพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้สำรองของทั้งปีมีความแข็งแกร่ง ส่งผลให้สัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ของธนาคารและบริษัทย่อย ณ สิ้นปี 56 เพิ่มขึ้นเป็น 140% จาก 113% ณ สิ้นปีก่อนหน้า

นอกจากนี้ธนาคารยังคงดำรงสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ภายใต้เกณฑ์ Basel III อยู่ที่ 15.9% โดยเป็นกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ในสัดส่วน 10.6 % ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.5% และ 6% ตามลำดับ

“จากผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการรักษาคุณภาพสินเชื่อและมีสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับสูง พร้อมกับการรักษาสภาพคล่องและดำรงเงินกองทุนที่ระดับสูง ทำให้ในเดือน พฤศจิกายนที่ผ่านมา สถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P เพิ่มระดับอันดับเครดิตของธนาคารจาก BB+ เป็น BBB-แนวโน้มมีเสถียรภาพ" นายบุญทักษ์ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ