ในส่วนของผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศนั้น โดยเฉลี่ยน่าจะอยู่ในระดับ 15-20% ซึ่งในบางตลาดอาจจะมีผลตอบแทนที่คาดหวังมากกว่านี้เช่นตลาดหุ้นจีน ในขณะที่ผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะเกิน 10% เพราะขณะนี้ต้องเผชิญกับปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจากปัญหาการเมืองภายในประเทศ ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจที่จะมาลงทุน
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยังคงเป็น ตลาดที่น่าสนใจลงทุนต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบาย Abenomics ที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวที่ระดับ 2% และเริ่มเห็นผลที่ชัดเจน จากตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจของญี่ปุ่นฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การจ้างงานปรับตัวดีขึ้น และช่วยกระตุ้นให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัวดีขึ้น ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อของประเทศจากที่ติดลบเกือบ1%สามารถกลับมาเป็นบวกที่1.5%
ปัจจัยที่ยังเป็นบวกกับตลาดหุ้นของประเทศญี่ปุ่นในปีนี้ก็คือ ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้สินค้าของประเทศญี่ปุ่นเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการคาดการณ์ว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ12%เมื่อเทียบกับปี 2556 โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นมี Upside อยู่ที่ 27%
ตลาดที่น่าสนใจถัดมาคือตลาดหุ้นจีนและประเทศในกลุ่มเอเชียเหนือ ซึ่งเหตุผลหลัก คือ คาดการณ์ว่ายอดขายและผลกำไรของบริษัทต่างๆ ในตลาดหุ้นเอเชียหนือน่าจะเติบโต ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ทั้งสามคือ สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าจะทำให้เกิดการบริโภคและลงทุนที่มากขึ้น ส่งผลบวกต่อเนื่องมายังของเศรษฐกิจประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชียเหนือ (จีน ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้) เนื่องจากประเทศในกลุ่มเอเชียเหนือเป็นประเทศที่มุ่งเน้นการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นหลัก โดยเฉพาะสินค้าทางด้านไอที
แนวโน้มการอ่อนค่าลงของเงินสกุลเอเชียจากการชะลอมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะส่งผลให้สินค้าจากเอเชียมีความสามารถในการแข่งขันสูง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่กลุ่มเอเชียเหนือ ยังเป็นอีกแรงสนับสนุน เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีขึ้น จากแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลที่น่าจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงและเพิ่มแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ซึ่งจะส่งผลบวกต่อ Valuation ของหุ้น และทำให้หุ้นจีนสามารถกลับมาซื้อขายที่ระดับ P/E สูงขึ้นได้ และมี Upside สูงถึง 70%
ราคาหุ้นในกลุ่มประเทศเอเชียเหนือยังอยู่ในระดับที่ถูก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มเอเชียทางใต้ ซึ่งรวมทั้งไทยเราเองด้วย โดยปัจจุบัน PE ตลาดหุ้นจีนและเกาหลีใต้ ยังซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นเอเชียถึง 29%
ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มมีความน่าสนใจลงทุนน้อยลง เนื่องจากตลาดได้สะท้อนภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตั้งแต่ในปีที่ผ่านมา และราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มองว่าการซื้อขายที่ Forward P/E และ P/B ณ ระดับปัจจุบัน แพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงคาดหวังเชิงบวกของนักลงทุนต่อการเติบโตของกำไรไปแล้ว ทำให้ Upside มีค่อนข้างจำกัด หรืออาจหาจังหวะลงทุนได้เมื่อราคาหุ้นมีการปรับฐานอย่างน้อย 10% จึงเป็นโอกาสเข้าลงทุน
ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยกดดันในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านการเมืองที่ยังคงยืดเยื้อ รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง ทำให้ดัชนีหุ้นไทยยังมีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างจำกัด โดยคาดว่าดัชนีในปีนี้จะอยู่ที่ 1,418 จุด (PE 13.5 เท่า) ซึ่งหากลงทุนในระดับดัชนี 1,300 จุด จะมีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังประมาณ 9% เท่านั้น ซึ่งมองว่าผลตอบแทนยังไม่คุ้มค่าเมื่อเมทียบกับความเสี่ยง
ทองคำ หมดสภาพการเป็นหลุมหลบภัยทางการลงทุน เนื่องจากหากนักลงทุนมองเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจะเริ่มมีความกล้าที่จะลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เพราะผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นน่าจะดีกว่า แนะนำให้หาจังหวะลดเงินลงทุนในทองคำลงและเปลี่ยนไปถือหุ้นแทน
ส่วนการลงทุนในพันธบัตรต่างประเทศ เนื่องจากแม้ว่าผลตอบแทนหรือ Bond Yield จะปรับตัวขึ้นมาบ้างแล้วแต่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าในสภาวะปกติ ดังนั้นหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอัตราผลตอบแทนพันธบัตรโดยเฉพาะอายุปานกลางและยาวน่าจะปรับตัวเพิ่มได้อีก ดังนั้นมองว่ายังไม่น่าสนใจในการลงทุนในขณะนี้