โดยบริษัทฯยังคงเน้นการออกกองทุนรวมในต่างประเทศ (FIF) เพื่อให้นักลงทุนไทยมีทางเลือกในการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนจากปัจจัยทางการเมือง โดยจะมีการเพิ่มโปรดักส์ใหม่ๆเข้ามาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า และเน้นการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย โดยจะหาพันธมิตรเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน ธนาคาร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาอยู่กับหลายธนาคาร รวมถึงเน้นคุณภาพการให้บริการทางด้านข้อมูลต่างๆทั้งลูกค้าและผู้สนับสนุนการขายหรือรับคืนหน่วยลงทุน โดยปัจจุบัน Citibank ยังเป็นตัวแทนขายกองทุนหลักของบริษัทฯ ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายในปี 56 อยู่ที่ 50% รองลงมาเป็นโบรกเกอร์ 30% และอีก 20% เป็นตัวแทนประกันขาย
“เราได้รับผลกระทบไม่ค่อยมากนักจากสถานการณ์การเมือง เนื่องจากจุดแข็งเราเน้นกองทุนต่างประเทศ ซึ่งลูกค้าหลายรายที่มีความกังวลก็เริ่มเข้ามาลงทุนต่างประเทศมากขึ้น เห็นได้จากในเรื่องของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) จาก 3,471 ล้านบาท ณ สิ้นปี 56 จนมาถึงวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเป็น 4,155 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19.7 % รวมทั้งสิ้น 6,305 ล้านบาท หลักๆยังมาจากตัวกองทุนต่างประเทศ โดยลูกค้ายังไม่เสีย Sentiment ในการลงทุน ซึ่งเขาก็มองหาการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยลงหรือสามารถหาผลประกอบการที่ดีได้ในต่างประเทศ"นายต่อ กล่าว
ทั้งนี้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกโดยรวมมองว่ามีแนวโน้มฟื้นตัวดีมากกว่าปีก่อน ซึ่งคาดว่า GDP เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 3.7 % จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่คาดว่า GDP จะโตในระดับ 3.0% ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการบริโภคที่ฟื้นตัวขึ้น และการใช้จ่ายของภาครัฐที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตไปได้ รวมถึงคาดว่าเศรษฐกิจยุโรปน่าจะเติบโตขึ้น 0.8% หลังจากติดลบมา 5-6 ปี ซึ่งจะมาจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนของกลุ่มยุโรปตะวันออก และภาคการส่งออกที่น่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ จึงมองว่าทั้งสหรัฐฯและยุโรป โดยเฉพาะประเทศเยอรมัน อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ สเปน จะเป็นตลาดที่น่าสนใจในการเข้าไปลงทุน
ส่วนตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจ มองว่าตลาดเอเชียเหนือ ไม่ว่าจะเป็น จีน ไต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่และอิงกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯค่อนข้างสูง ประกอบกับระดับราคาหุ้นยังค่อนข้างอยู่ในระดับที่ต่ำ โดยประเทศญี่ปุ่น ยังมีมุมมองทางเศรษฐกิจที่ดีอยู่ เกาหลีใต้ จะได้รับอานิสงค์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จากที่เกาหลีใต้มีสัดส่วนการส่งออกถึง 50% ของ GDP โดยมีสินค้าเทคโนโลยีเป็นสินค้าหลัก
ด้านประเทศไทย ยังคงมีปัจจัยหลักมาจาการเมืองที่ยังกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ ซึ่งหากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ในช่วงครึ่งปีหลังจะทำให้ไทยสามารถเติบโตไปได้ แต่ก็ยังคงต้องติดตามซึ่งหากมีรัฐบาล การดำเนินงานของรัฐบาลจะไปอยู่ที่การแก้ไขกฎหมายเป็นอันดับแรก หรือจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่อย่างไรก็ตามโดยภาพรวมของตลาดหุ้นไทยมองว่าจะปรับตัว Sideway และปรับตัวขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ และคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตประมาณ 10% มองกรอบดัชนีจะอยู่ระหว่าง 1,300-1,400 จุด
“โดยภาพรวมในครึ่งปีแรกเรายังมองตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนตัวในลักษณะ Sideway กรอบดัชนีบวกลบ ประมาณ 1,300-1,350 จุด ถ้าไม่มีปัจจัยอะไรเด่นจริงๆก็คงจะถึงจุดสูงสุดที่ 1,350 จุดยาก แต่ว่า downside ที่ 1,300 จุด ก็ยังเป็นแนวรับที่ค่อนข้างแข็งแรง กลยุทธ์ในการลงทุนของเราที่เราแนะนำการลงทุนแก่ลูกค้ามาตลอด คืออยากให้ลูกค้ามีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นในต่างประเทศก็ได้"นายต่อ กล่าว