(เพิ่มเติม) นิคมฯ ปิ่นทอง เตรียมออกกองทุนอสังหาฯ มูลค่า 2.6 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 11, 2014 17:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานกรรมการ บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด ผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการจัดตั้ง"กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ปิ่นทอง" (PPF) มูลค่าโครงการประมาณ 2.6 พันล้านบาท ลงทุนในกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารโรงงานจำนวน 90 โรง พื้นที่รวม 1.4 แสนตร.ม. มีธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงินและผู้จัดการการจำหน่าย และบล.ไทยพาณิชย์ เป็นผุ้จัดการกองทุน

ทั้งนี้เพื่อใช้ในการรองรับการขยายโครงการในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองและเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัท

ปัจจุบันนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองมีทั้งหมด 5 แห่ง พื้นที่รวมกันกว่า 6,000 ไร่ แถบ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มีมูลค่าโครงการรวมกันประมาณ 14,000 ล้านบาท โดยในแผนระยะ 3 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนขยายธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่รอบ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และบริเวณใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำถึงจุดแข็งของนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองในฐานะเป็นศูนย์กลางนิคมอุตสาหกรรมที่สำคัญในภาคตะวันออกและของประเทศตลอดเกือบ 2 ทศวรรษ โดยเน้นอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ การขนส่ง พลาสติก และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ภายใต้การให้บริการทั้งก่อสร้างโรงงานสำเร็จรูปเพื่อเช่าและขายที่ดินพร้อมสาธารณูปโภคที่สะดวก ทันสมัย ครบวงจรสำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมภายใต้การรับรองมาตรฐานที่ยอมรับในระดับสากลรองรับความต้องการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองมีข้อได้เปรียบของทำเลที่ตั้งตัวนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ใกล้กับจุดขนส่งสำคัญของประเทศและการคมนาคมที่สะดวก เช่น อยู่ใกล้ท่าเรือแหลมฉบังเพียง 9 กิโลเมตร ใกล้ตัวอ.ศรีราชา 15 กิโลเมตร และใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ 65 กิโลเมตร ทำให้การขนส่งสินค้าหรือการกระจายสินค้าทำได้อย่างสะดวกรวดเร็วซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะภาระต้นทุนการขนส่งของผู้ประกอบการ ตลอดจนตั้งอยู่บนเนินสูงไม่ชิดกับทะเลมากเกินไปทำให้สามารถบริหารจัดสรรทรัพยากรน้ำภายในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อป้องกันการขาดแคลนในช่วงแล้งและช่วงน้ำมาก รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการรองรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่จะมีการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นศูนย์กลางขนส่งทางเรือใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งยังรองรับแผนการค้าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อีกด้วย

ด้านนางสมศรี ดวงประทีป กรรมการบริหาร กล่าวว่า การเปิดโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 4 และ 5 พื้นที่รวม 2,200 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท ราคาขายต่อไร่เฉลี่ย 3 ล้านกว่าบาท เริ่มทำการตลาดได้ในช่วงปลายไตรมาส 2 ของปีนี้ ตั้งเป้าจะสามารถปิดการขายได้ภายใน 3 ปี

ปัจจุบันมีนักลงทุนที่เป็นกลุ่มลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่โดยเฉพาะญี่ปุ่น จีน และไทย ทยอยวางแผนเพื่อลงทุนเพิ่มเติมและการย้ายการลงทุนจากที่อื่นมาในนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 2 แห่งแล้ว คาดว่าจะมีกลุ่มลูกค้าเดิมและลูกค้าแถบภาคตะวันออกเข้ามาลงทุนประมาณ 70% และที่เหลือเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ 30% ทำให้ยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมภาคเอกชนแถบศรีราชาและบริเวณใกล้เคียงที่ใกล้ท่าเรือแหลมฉบังมากที่สุดต่อไป เนื่องจากราคาเช่าและการขายที่ดินยังอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าเฉลี่ยถึง 23% เมื่อเทียบกับราคาในชลบุรีและในเขตภาคตะวันออก ทำให้บริษัทมีโอกาสทางธุรกิจอยู่ในระดับสูงอยู่ต่อไปในการที่จะดึงดูดและเร่งให้ผู้ประกอบการตัดสินใจเข้ามาเช่าหรือซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองทั้ง 2 แห่ง เพื่อลดต้นทุนจากผลกระทบจากปัญหาวัตถุดิบในการผลิตและต้นทุนแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้น

สำหรับในช่วงระหว่างปี 2554-2556 ที่ผ่านมา บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีรายได้รวม 4,077 ล้านบาท กำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 900 ล้านบาท และคาดว่าการเปิดโครงการนิคมอุตสาหกรรม 4 และ 5 จะทำให้บริษัททยอยรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 4,800 ล้านบาท และมีกำไรก่อนหักภาษีประมาณ 1,600 ล้านบาท

นายทาคาฮารุ ซุเกะ ผู้จัดการทั่วไป กล่าวว่า แนวโน้มการแข่งขันของผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมในแถบศรีราชาและบริเวณใกล้เคียงยังคงมีอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับ AEC ซึ่งทางนิคมอุตสาหกรรมยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมคือใกล้ท่าเรือแหลมฉบังซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางขนส่งในภาคตะวันออก และคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนรายใหม่ที่ยังไม่เคยมีฐานการลงทุนในประเทศย้ายฐานการผลิตหรือลงทุนเพิ่มในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองเพิ่มมากขึ้นด้วย

ส่วนปัญหาความผันผวนทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มจะชะลอตัวทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่หลายฝ่ายมองว่าจะทำให้การลงทุนในภาพรวมชะลอตัวลงไปนั้นอาจจะมีบ้าง แต่บริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากสามารถเสนอรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับลูกค้าได้ตรงความต้องการทั้งการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปเพื่อให้สามารถผลิตสินค้าส่งมอบกับผู้ว่าจ้าง และการซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงงานที่มีระยะเวลาในการก่อสร้างและการลงทุนพอสมควร และขณะนี้มีกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากประเทศญี่ปุ่นทยอยเข้ามาติดต่อเพื่อเช่าและซื้อที่ดินเพื่อเตรียมการผลิตสำหรับส่งมอบให้กับบริษัทแม่ในประเทศและส่งกลับไปยังประเทศญี่ปุ่นแล้ว และเชื่อว่าประเทศไทยยังคงเป็นจุดศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคนี้อยู่ทำให้ได้รับผลกระทบในขอบเขตจำกัด

"ที่ผ่านมามีหน่วยงานกลางทั้งภาครัฐและเอกชนด้านการลงทุนหลายประเทศ เข้ามาศึกษาเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้กับผู้ประกอบการของประเทศตัวเอง ซึ่งพบว่ารายงานมีมุมมองในสถานะเชิงบวกต่อตัวนิคมอุตสาหกรรมหลายประการทั้งในเรื่องทำเลที่ตั้งใกล้จุดขนส่งสำคัญของประเทศและการคมนาคมที่สะดวก ระบบรักษาความปลอดภัย การใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เป็นมาตรฐานทั้งในเรื่องพื้นที่สีเขียวและระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น ซึ่งเมื่อกลุ่มนักลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเยี่ยมชมภายในนิคมอุตสาหกรรมแล้วมีความสนใจที่จะเข้าเลือกเข้ามาในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีลูกค้าชั้นนำจากญี่ปุ่นและจากบริษัทชั้นนำทั่วโลกให้ความไว้วางใจเลือกนิคมอุตสาหกรรมเป็นที่ตั้งโรงงานผลิต เช่น กลุ่มผลิตชิ้นส่วนยานยนต์อย่าง Watanabe Heat Treatment, Advics, Furukawa NTN Automotive กลุ่มอื่นๆ เช่น DHL, Makita และ Cerebos เป็นต้น"

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ