PTTEP คาดรับผลไม่เกิน 100 ล้านดอลล์จากการด้อยค่าสินทรัพย์ KKD ในแคนาดา

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 31, 2014 15:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) คาดว่าจากการแลกเปลี่ยนสัดส่วนในโครงการแคนดา ออยซ์ แซนด์ เคเคดี โดยเปลี่ยนการถือสัดส่วนร้อยละ 40 ของบริษัท PTTEPCA ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ PTTEP ในแหล่ง Leismer และ แหล่ง Corner (LC) ให้กับบริษัท Statoil Canada Limited (SCL) เพื่อได้มาสัดส่วนร้อยละ 60 ของแหล่ง Thornbury , Hangingstone และ South Leismer (THSL) ทำให้ PTTEP จะมาถือ 3 แหล่งดังกล่าวเต็มร้อยละ 100 ส่วนอีก 2 แหล่งให้ Statoil ถือร้อยละ 100

ทั้งนี้คาดว่ากระบวนการดำเนินการจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 2 หรือไตรมาส 3 ปีนี้ และประเมินว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากการด้อยค่าของสินทรัพย์แหล่งออยซ์ แซนด์ เคเคดี ไม่น่าเกินมูลค่า 100 ล้านเหรียญ

แม้ว่าในการตกลงแลกเปลี่ยนสัดส่วนครั้งนี้ บริษัทจะได้รับเงินสดจำนวน 200 ล้านเหรียญ และเงินสดที่คำนวณจากเงินทุนหมุนเวียนตั้งแต่ 1 ม.ค. 56 จนกระทั่งวันที่สัญญามีผลสมบูรณ์ ประมาณ 240-250 ล้านเหรียญ แล้วก็ตาม

ทั้งนี้ สัญญาจะมีผลสมบูรณ์ตามสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญาโอนคืนสิทธิหน่วยลงทุนในห้างหุ้นส่วน (Partnership Units Redemption Agreement : PURA) รวมถึงได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลแคนาดา

นายเทวินทร์ กล่าวว่า การดำเนินการแลกเปลี่ยนสัดส่วนโครงการ KKD เพราะบริษัทเห็นว่าหากยังถือเช่นนี้ต่อไปจะมีการใช้เงินลงทุนสูง ขณะที่มาร์จิ้นต่ำจากการผลิตและขายบิทูมินจากแหล่งนี้ เพราะยังไม่มีการขนส่งผ่านท่อทำให้ต้นทุนสูง บริษัทจึงได้หารือกับ Statoil มากว่า 1 ปี จนได้ข้อตกลงร่วมกันโดยได้ทำการประเมินศักยภาพทั้ง 5 แปลงซึ่งใช้มูลค่าปัจจุบันมาคำนวณหามูลค่า

ทั้งนี้ PTTEP ได้ใสิทธิเป็นเจ้าของ 3 แหล่ง คือ Thornbury, Hangingstone และ South Leismer (THSL) ซึ่งเป็นแหล่งที่ยังไม่ได้มีการผลิต แต่เป็นแหล่งที่มีศักยภาพค่อนข้างมาก แต่ก็จะมีภาระการลงทุนเพิ่มขึ้นต่อไป แม้ว่าในช่วงแผนการลงทุนใน 5 ปีนี้(ปี 57-61) จะลดงบลงทุนจากแหล่งเคเคดีไป 2 พันล้านเหรียญ แต่จะใช้เงินลงทุนใน 3 แหล่งนี้เป็นเท่าไรต้องมาพิจารณากันอีกครั้ง

"KKD ถ้าย้อนกลับไปดูไม่ได้รับผลตอบแทนอย่างที่วางไว้ ถ้าเราจะลงทุนเพิ่มก็จะเป็นภาระจึงแยกสินทร้พย์ ใช้กลยุทธ์หยุดเลือด เรารอจังหวะ ถ้ามี commercial เยอะ เราถึงจะลงทุน" นายเทวินทร์ กล่าว

อย่างไรก็ดี คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะไม่ได้รับรู้รายได้จากแหล่ง KKD แต่คาดว่าภายในเดือนเม.ย.นี้ น่าจะรู้ผลประมูลแหล่งปิโตรเลียม 2 แหล่งของ HESS Corporation คือโครงการไพลิน และโครงการสินภูฮ่อม หากบริษัทได้มาจะช่วยชดเชยปริมาณผลิตและจำหน่ายจากแหล่งออยล์ แซนด์ เคเคดีที่จะหยุดรับรู้รายได้หากการแลกเปลี่ยนสัดส่วนเสร็จสิ้น ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTTEP ให้ความมั่นใจว่าจะชนะการประมูลในครั้งนี้

ก่อนหน้านี้ PTTEP ได้ปรับลดเป้าหมายขายในปี 57 ลงเหลือ 3.24 แสนบาร์เรล/วัน จากเดิมกำหนดไว้ 3.37 แสนบาร์เรล/วัน อย่างไรก็ดี เป้าหมายใหม่ก็ยังเติบโต 11% จากปีก่อนที่มีปริมาณขาย 2.93 แสนบาร์เรล/วัน และคาดว่ารายได้ก็จะเติบโตตามปริมาณขายเช่นกัน

นายเทวินทร์ กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีนี้บริษัทได้ทบทวนปรับเป้าหมายการผลิตจาก 9 แสนบาร์เรล/วัน มาเป็น 6 แสนบาร์เรล/วัน ภายในปี 2563 เพื่อไม่ให้ถูกกดดัน และมีการลงทุนเกินกำลัง ซึ่งจะมีการเพิ่มทุนอย่างมากตามมา รวมทั้งบุคคลากรที่จะไม่เพียงพอ ทั้งนี้จากแหล่งผลิตปัจจุบันบริษัทมีปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้วไม่ถึง 7 ปี ขณะที่ตั้งเป้าหมายไว้ 10 ปีก็คงต้องเร่งจัดหา

"การวางเป้าหมายผลิตที่ 6 แสนบาร์เรล/วัน เท่ากับเราต้องเติบโตปีละ 8% เราจะเร่งเพิ่มปริมาณสำรองให้อยู่ในระดับสูงสุด 25%"นายเทวินทร์ กล่าว

ทั้งนี้ ประเมินว่า จากแหล่งผลิตในปัจจุบัน บริษัทคาดว่าจะสามารถผลิตได้ประมาณ 4 แสนบาร์เรล/วัน ส่วนอีก 2 แสนบาร์เรลจะมาจากการซื้อกิจการ ซึ่งจะใช้ความระมัดระวังที่จะเข้าไปลงทุนโครงการที่เสี่ยงน้อยที่สุด ซึ่งเป็นโครงการที่มีปริมาณสำรองพิสูจน์แล้ว รวมทั้งต้องใช้เทคโนโลยีในการสำรวจให้มากขึ้น และหากจะเข้าไปลงทุนแหล่งปิโตรเลียมจะคำนึงถึงผลตอบแทนที่เหมาะสม และต้นุทนน้ำมันที่ประมาณ 80 - 100 เหรียญ/บาร์เรล เพราะเชื่อว่าราคาน้ำมันไม่น่าจะต่ำกว่านี้

ณ วันที่ 31 ธ.ค. 56 บริษัทมีปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้วรวมทุกโครงการของ PTTEP คิดเป็น 846 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ