โบรกฯหนุน"เก็งกำไร" MAJOR คาด Q2/57 รับผลดีหนังฟอร์มยักษ์พาเหรดเข้าฉาย

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 18, 2014 09:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บล.ไอร่า                 ซื้อเก็งกำไร            19.80
          บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ       ซื้อเก็งกำไร            21.00
          บล.เคจีไอ                  ซื้อ                 21.00
          บล.เอเชีย พลัส              ซื้อ                 22.60          +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

          นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ มองหุ้น MAJOR ช่วงไตรมาส 2/57 เข้าสู่ช่วง high season มีหนังคุณภาพรอเข้าโรงภาพยนตร์เป็นจำนวนมาก ทั้งจากฝั่ง Hollywood และจากค่ายหนังของไทย เช่น Captain America, Spider Man, X-man และตำนวนสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5 จึงคาดว่าผลประกอบการน่าจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่กำไรคาดว่าจะเติบโตได้ถึง 13.9%
          ด้านธุรกิจอื่นๆ มองว่าไม่น่ามีความกังวล โดยรายได้ธุรกิจโฆษณาในไตรมาส 1/57 ยังเติบโตได้ 10% ขณะที่ MPIC ก็ถึงจุดคุ้มทุนแล้ว ตั้งแต่ที่ภาพยนตร์ของบริษัทฯ เช่น Wolf of Wall Street และ Fud-Jung-To ทำเงินได้ ส่วนธุรกิจให้เช่าพื้นที่ดูสดใสมากขึ้นจากการที่ WE Fitness เริ่มเปิดให้บริการ บริษัทจึงยังคงเป้าการเติบโตของรายได้ในปีนี้เอาไว้ที่ 10-15%
          "เรายังคงแนะนำให้ซื้อ MAJOR โดยคงราคาเป้าหมายเอาไว้ที่ 21.00 บาท ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นมาแรงในช่วงนี้ แต่เราเชื่อว่าราคาหุ้นน่าจะยังสามารถวิ่งขึ้นต่อไปได้ เนื่องด้วยเราเชื่อว่าผลกระทบที่เกิดจากการชุมนุมได้ผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งรายได้จากธุรกิจโรงภาพยนตร์ ได้ตกลงถึงจุดต่ำสุดแล้วในเดือนก.พ.57 ก่อนที่จะกลับมาโตได้อีกครั้งในเดือนมี.ค.57 ที่เติบโตได้ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงไตรมาสที่ 2 มักจะเป็นช่วง high season เนื่องจากเป็นช่วงที่มีหนังดีๆ รอเข้าโรงอยู่เยอะทั้งจากฝั่ง Hollywood และจากค่ายหนังของไทยเพื่อต้อนรับฤดูร้อนและปีนี้ก็เช่นเดียวกัน ประกอบกับราคาหุ้นยังถือว่าไม่แพง"นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ กล่าว
          นายศักดิ์นรินทร์ ศศานนท์  นักวิเคราะห์ บล.ไอร่า กล่าวว่า ปีนี้ MAJOR ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มอีก 40 สาขา โดยยังคงเน้นสาขาต่างจังหวัดที่มีการเติบโตสูง คาดว่าจะทำให้สัดส่วนรายได้จากพื้นที่ต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็น 40% และผลักดันให้รายได้ในธุรกิจหลักเติบโตได้ 12-15% ขณะเดียวกันเริ่มเห็นผลของการลดต้นทุนโดยการจำหน่ายตั๋วผ่านเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติและออนไลน์มากขึ้น จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้
          แต่มองว่า MAJOR ยังถูกกดดันจากธุรกิจโฆษณาที่มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ลดลงและผลประกอบการของ MPIC ที่อ่อนตัวซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มการปรับโครงสร้างธุรกิจ
          "ในไตรมาส 2 มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จะเข้าฉายหลายเรื่อง และจะได้อานิสงส์จากทีวีดิจิจอล โดยจะมีการร่วมทุนเพื่อผลิตภาพยนตร์ระหว่าง MPIC, True Corp และ Wave entertainment ในเร็วๆนี้ รวมถึงการชุมนุมทางการเมืองเริ่มคลี่คลายลง ประชาชนจึงกลับมาเดินห้างสรรพสินค้ากันเหมือนเดิม ขณะที่ทั้งปีภาพรวมยังมองว่าจะเติบโตได้ไม่มากนัก เนื่องด้วยปีก่อนมีรายได้พิเศษเข้ามาจากการขายเงินลงทุนส่วนหนึ่ง ประกอบกับภาพยนตร์เรื่องพี่มากพระโขนงที่สร้างรายได้พิเศษเข้ามา มองว่าปีนี้ก็อาจจะไม่มีรายได้พิเศษเหมือนดังกล่าว จึงแนะนำซื้อเก็งกำไร"นายศักดิ์นรินทร์ กล่าว
          นายกวี มานิตสุภวงษ์ นักวิเคราะห์ บล.เอเชีย พลัส คาดว่า รายได้จากธุรกิจโฆษณายังเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้ไตรมาสแรกอาจจะไม่ดีนัก แต่มองว่าในไตรมาส 2/57 นี้จะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ Captain America เข้าฉาย และช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีฉายต่อเนื่อง อาทิ The Amazing Spider-Man 2, X-Men:Days of future past, Transformer และภาพยนตร์ที่จะเข้ามาทำรายได้ทดแทนเรื่อง"พี่มากพระโขนง"คือ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5
          ดังนั้น ส่งผลให้ทั้งปีมองว่ากำไรปกติจะเติบโตได้ 10% และกำไรสุทธิทรงตัว เนื่องจากปีก่อนมีกำไรพิเศษเข้ามา ส่วนในเรื่องของการเมืองขณะนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงไปมากจากไตรมาสแรกบริษัทฯได้รับผลกระทบจากการชุมนุมพอสมควร
          นักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)มองว่า รายได้ปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมาย 10-15% จากภาพยนตร์เข้าฉายมีแนวโน้มทำรายได้สูง เช่น Transformer 4, The Amazing Spider-Man 2, Godzilla, Robocop และ Captain America อีกทั้งเปิดสาขาโรงภาพยนตร์เพิ่มอีก 40 โรง โดยผู้บริหารยังเชื่อว่าตลาดต่างจังหวัดยังมีแนวโน้มเติบโตในเกณฑ์ที่ดี ขณะที่รายได้จากการโฆษณาเติบโตกว่า 10% จากการที่ลูกค้ารายใหญ่ 80-90% ยังคงซื้อโฆษณากับเมเจอร์อย่างต่อเนื่อง และ การขายโฆษณาอิงกับภาพยนตร์แต่ละเรื่อง ทำให้สามารถขายโฆษณาได้มากขึ้น
          ทั้งนี้ การเปลี่ยนระบบฉายภาพยนตร์จากฟิล์มเป็นดิจิตอลครบทุกโรง และเปลี่ยนการขายตั๋วเป็นการขายผ่านตู้อัตโนมัติ (E-ticketing)จะช่วยลดค่าใช้จ่ายพนักงาน ส่วนบริษัท MPIC มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากขาดทุนหนักใน 2 ปีที่ผ่านมา และมีการปรับโครงสร้างธุรกิจ ยกเลิกธุรกิจจำหน่ายแผ่นวีซีดีและดีวีดี โดยเปลี่ยนมาเน้นการเป็น Content provider และ Film distributor แทน
          อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงจากการชุมนุมทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้รายได้จากการขายตั๋วภาพยนตร์ต่ำกว่าคาดการณ์ รวมถึงผลประกอบการ MPIC ยังไม่ฟื้นตัว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ