ทริสจัดอันดับเครดิตองค์กร"สหพัฒน์อินเตอร์ฯ"ที่ “AA" ด้วยแนวโน้มคงที่

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 21, 2014 09:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรให้แก่ บมจ. สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) ที่ระดับ “AA" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงการกระจายการลงทุนในหลากหลายธุรกิจและความแข็งแกร่งของเครือข่ายกลุ่ม ตลอดจนนโยบายการเงินที่ระมัดระวังซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนและระดับเงินปันผลรับของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงที่บริษัทในกลุ่มกำลังเผชิญในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค เสื้อผ้า และอาหาร แม้บริษัทจะมีกระแสเงินสดไม่มากนัก แต่บริษัทมีสภาพคล่องจากเงินลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งแม้ราคาหลักทรัพย์จะมีความผันผวนและไม่สามารถคาดการณ์ได้ก็ตาม

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังและการรักษาสภาพคล่องทางการเงินในระดับสูงของบริษัท โดยคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อมูลค่าตลาดของเงินลงทุนในบริษัทจดทะเบียนจะคงอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่ากลุ่มสหพัฒน์จะมีผลการดำเนินงานที่ความแข็งแกร่งและดำรงสถานะผู้นำในตลาดหลักได้อย่างต่อเนื่อง

SPI ก่อตั้งในปี 2515 โดยตระกูลโชควัฒนา เพื่อให้เป็นบริษัทโฮลดิ้งหลักของกลุ่มสหพัฒน์ ณ เดือนธันวาคม 2556 ตระกูลโชควัฒนาถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมในบริษัทจำนวน 68.6% กลุ่มสหพัฒน์เป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศไทยซึ่งทำการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายในอุตสาหกรรมอาหาร เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องสำอาง และสินค้าอุปโภคบริโภค SPI ดำเนินธุรกิจสวนอุตสาหกรรม และให้บริการสาธารณูปโภค ตลอดจนให้การช่วยเหลือทางการเงินและบริการด้านอื่น ๆ สำหรับการลงทุนของกลุ่ม

สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในเครือสหพัฒน์จะดำเนินการโดย บมจ.สหพัฒนพิบูล(SPI) บมจ.ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล (ICCหาชน) และ บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด

ส่วนในด้านการผลิตนั้น ตามปกติกลุ่มสหพัฒน์จะร่วมลงทุนกับพันธมิตรจัดตั้งบริษัทเพื่อทำการผลิตสินค้า กลุ่มสหพัฒน์มีความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับหุ้นส่วนจำนวนมากและมีหลายบริษัทเป็นบริษัทขนาดใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น กลุ่มสหพัฒน์มีโครงสร้างการถือหุ้นที่ซับซ้อนโดยมีการถือหุ้นไขว้กันระหว่างบริษัทในกลุ่ม

อีกทั้ง การลงทุนของ SPI ในบริษัทที่เกี่ยวข้องจะมีสัดส่วนการถือหุ้นน้อยกว่า 50% ในแต่ละบริษัท ในปี 2556 รายได้ของกลุ่มสหพัฒน์ที่ผ่านบริษัทจัดจำหน่ายหลัก 3 รายมีมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาทจากการขายสินค้าทั่วประเทศ โครงสร้างของกลุ่มสหพัฒน์ได้พัฒนาเครือข่ายที่แข็งแกร่งตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบไปจนถึงการผลิตและจัดจำหน่าย โดยสินค้าของบริษัทประกอบด้วยตราสินค้าชั้นนำจำนวนมากในหลากหลายตลาด เช่น มาม่า วาโก้ เปา เอสเซ้นซ์ มิสทีน บีเอสซี ฯลฯ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งท้าทายความสามารถของกลุ่มสหพัฒน์ในการรักษาสถานะทางการตลาดและประสิทธิภาพการดำเนินงาน

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 SPI ลงทุนในบริษัทต่าง ๆ รวม 148 แห่งในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยมี 22 แห่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ 1 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว โครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มสหพัฒน์ช่วยทำให้บริษัทได้ประโยชน์จากความหลากหลายของสินค้าซึ่งจะช่วยบรรเทาความผันผวนจากภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดของบริษัทขึ้นอยู่กับเงินปันผลรับจากบริษัทที่เกี่ยวข้องซึ่งปัจจุบัน SPI ไม่มีอำนาจเต็มในการกำหนดนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทที่เกี่ยวข้องดังกล่าว

สำหรับธุรกิจสวนอุตสาหกรรมนั้น บริษัทให้บริการสวนอุตสาหกรรม 3 แห่งซึ่งส่วนใหญ่ใช้รองรับธุรกิจด้านการผลิตของกลุ่ม โดยรายได้หลักของธุรกิจสวนอุตสาหกรรมมาจากรายได้ค่าสาธารณูปโภคและค่าบริการอื่น ๆ ส่วนรายได้จากการขายที่ดินมีจำนวนน้อยเนื่องจากบริษัทมีการขายที่ดินให้แก่บริษัทนอกกลุ่มน้อยมาก กระแสเงินสดจากธุรกิจสวนอุตสาหกรรมทั้งหมดถูกใช้เพื่อค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและบริหารของบริษัท ดังนั้นรายได้จากเงินปันผลจึงเป็นกระแสเงินสดสำหรับการลงทุนและกิจกรรมทางการเงินเป็นหลัก เงินปันผลที่บริษัทได้รับในอดีตคิดเป็นเกือบ 100% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อย่างไรก็ตาม ในปี 2555 และปี 2556 บริษัทมียอดขายที่ดินเป็นจำนวน 200-300 ล้านบาทต่อปีเมื่อเทียบกับยอดขายที่ดินรวม 5 ปีมูลค่า 323 ล้านบาทในช่วงปี 2550 ถึงปี 2554 ดังนั้น EBITDA จากธุรกิจสวนอุตสาหกรรมจึงคิดเป็นสัดส่วน 9% และ 22% ของ EBITDA ทั้งหมดในปี 2555 และปี 2556 ตามลำดับ

รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 2,992 ล้านบาทในปี 2552 เป็น 4,114 ล้านบาทในปี 2556 โดยในปี 2556 รายได้มีการเติบโต 2.2% ซึ่งน้อยกว่าปี 2555 และปี 2554 เนื่องจากผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงของธุรกิจเสื้อผ้า ในขณะที่รายได้จากธุรกิจสวนอุตสาหกรรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้ค่าสาธารณูปโภคอยู่ในระดับสม่ำเสมอและเติบโตปานกลาง กระแสเงินสดของบริษัทซึ่งรวมรายได้เงินปันผลอยู่ที่ระดับ 500-660 ล้านบาทในระหว่างปี 2552-2555 โดยรายได้เงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็น 746 ล้านบาทในปี 2556 สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมพิจารณาการจ่ายเงินปันผลของบริษัทที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในปี 2556 จำนวนประมาณกึ่งหนึ่งของบริษัทที่เกี่ยวข้องมีการจ่ายเงินปันผล ซึ่งบริษัทที่จ่ายเงินปันผลมากที่สุด 5 อันดับแรกคิดเป็นสัดส่วน 55% ของเงินปันผลทั้งหมดที่บริษัทได้รับ อย่างไรก็ตาม สถิติในอดีตสะท้อนให้เห็นว่า SPI มีรายได้จากเงินปันผลในระดับที่สม่ำเสมอ

สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่พอเพียงจากนโยบายการก่อหนี้ที่ระมัดระวัง เงินกู้ทั้งหมดรวมภาระการค้ำประกันให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นจาก 977 ล้านบาทในปี 2552 เป็น 1,684 ล้านบาทในปี 2556 อัตราส่วนของ EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงกว่า 14 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับสูงกว่า 45%

นอกจากนี้ การลงทุนของบริษัทได้ช่วยส่งเสริมสภาพคล่อง เมื่อพิจารณามูลค่าตลาดของเงินลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 23 แห่งคิดเป็น 16,348 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2556 อัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อมูลค่าตลาดของเงินลงทุนในบริษัทจดทะเบียนอยู่ระหว่าง 7%-10% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และบริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับต่ำที่ 8.9% ณ สิ้นปี 2556 นอกจากนี้ ในเดือนมีนาคม 2557 บริษัทมีพื้นที่ว่างรอการขายในสวนอุตสาหกรรมทั้ง 3 แห่งจำนวน 1,565 ไร่ และมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 2,000 ล้านบาท

ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทในอนาคตขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทที่เกี่ยวข้องและนโยบายการจ่ายเงินปันผล ทั้งนี้ แผนในการขายที่ดินเพิ่มจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่บริษัท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงหลักการในการลงทุนโดยร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่มีศักยภาพและบริษัทเป็นผู้ร่วมพัฒนาและบริหารโครงการ ทั้งนี้ทริสเรทติ้งไม่ได้รวมการลงทุนขนาดใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ในแผนไว้ในประมาณการของบริษัทในระยะปานกลาง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ