โบรกฯแนะ"ซื้อ"SCC คาดกำไร Q1/57 โตตามปิโตรฯขาขึ้น แม้ธุรกืจปูนชะลอ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 25, 2014 15:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บล.ฟินันเซีย ไซรัส              ซื้อ                    470.00
          บล.เอเซีย พลัส                ซื้อ                    520.00
          บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)         ซื้อ                    500.00
          บล.กรุงศรีอยุธยา               ซื้อ                    510.00
          บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)        ซื้อ                    580.00
          บล.ทรีนิตี้                     ซื้อ                    540.00

นายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส มองว่า ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างในช่วงไตรมาสแรกยังคงมีอัตราการเติบโตขึ้นได้เล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากโครงการก่อสร้างในประเทศที่ดำเนินการต่อเนื่องมาจากปี 56 รวมไปถึงการขยายฐานธุรกิจไปต่างประเทศ โดยราคาวัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปส่วนธุรกิจกระดาษเริ่มมีทิศทางดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าธุรกิจปูนซีเมนต์จะกลับมาโดดเด่นอีกครั้งในปี 59 หลังโรงงานใหม่ 3 แห่ง กำลังการผลิตรวม 4.5 ล้านตัน ที่อินโดนีเซีย พม่า และกัมพูชา เริ่มใช้กำลังการผลิตเต็มที่

ส่วนธุรกิจกระดาษนั้น SCC พยายามลดจุดอ่อนในส่วนธุรกิจกระดาษพิมพ์เขียนที่เป็นตัวฉุดกำไร ด้วยการจับมือร่วมเป็นพันธมิตรกับ Nippon Paper Industries ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระดาษรายใหญ่ของญี่ปุ่นที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อร่วมกันพัฒนาสินค้าที่มี margin สูงขึ้น โดย SCC ยังคงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าลงทุนต่อไป และตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าไว้ถึง 2.5 แสนล้านบาท ขณะที่ธุรกิจหลักที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนกำไรที่สำคัญที่สุดในช่วง 3 ปีข้างหน้า คือธุรกิจปิโตรเคมี ที่คาดว่าจะมีช่วงวัฏจักรขาขึ้นยาวนานไปจนถึงปี 60

"ราคาหุ้นยังมี Upside จาก Fair Value และผลประกอบการไตรมาสแรกที่จะประกาศออกมาในวันพุธที่จะถึงนี้ มองทิศทางกำไรก็น่าจะเติบโตจากปี 56 ประมาณ 7% แม้ว่าสถานการณ์การก่อสร้างในประเทศดูเหมือนจะดูไม่ค่อยสดใส แต่ยังมีโครงการก่อสร้างที่ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว ส่งผลให้ยอดขายปูนซีเมนต์เติบโตได้

ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมียังเป็นตัวผลักดันหลักที่ขับเคลื่อนผลกำไรในปีนี้ ซึ่งมองแนวโน้มธุรกิจจะเป็นช่วงขาขึ้นและจะต่อเนื่องไปถึงปี 60 ส่วนธุรกิจกระดาษในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ไม่ค่อยดี แต่เชื่อมั่นว่าจากไตรมาส 2 เป็นต้นไปจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น หลังจากที่ SCC ได้จับมือกับ Nippon Paper ผู้ผลิตกระดาษรายใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น ที่จะเข้ามาร่วมถือหุ้นในสายเยื้อกระดาษและกระดาษพิมพ์เขียน" นายประสิทธิ์ กล่าว

ทั้งนี้ ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างมองว่าหากสถานการณ์การเมืองมีความยืดเยื้อต่อเนื่องไปอีกจะเริ่มเห็นถึงผลกระทบดังกล่าวมากขึ้น จากโครงการใหม่ๆที่ไม่มีออกมา แต่ในระยะสั้นยังมีโครงการก่อสร้างที่ต่อเนื่องจากปีก่อนเข้ามาจึงทำให้ช่วงครึ่งปีแรกความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ยังคงมีอยู่ ขณะเดียวกันธุรกิจปิโตรเคมีที่อยู่ในช่วงขาขึ้นจะส่งผลเชิงบวกและเข้ามาชดเชยในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบได้

นายดนัย ตุลยาพิศิษฐ์ชัย นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า ธุรกิจปิโตรเคมีกลับมาผลิตได้เต็มที่หลังจากปิดซ่อมไปในไตรมาส 4/56 ส่งผลให้กำไรปรับตัวเพิ่มมาเป็น 5 พันล้านบาท จาก 2.6 พันล้านบาทของไตรมาส 1/56

ส่วนธุรกิจปูนซิเมนต์และวัสดุก่อสร้างกำไรลดลงเล็กน้อยเหลือ 3.6 พันล้านบาทจาก 4 พันล้านบาท จากความต้องการใช้ปูนในประเทศที่ชะลอลงเหลือ 4-5% จากปีก่อนที่เติบโตเกิน 10% ทำให้ต้องหันไปส่งออกมากขึ้น

ขณะที่กำไรธุรกิจกระดาษอาจดีกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/56 จากราคากระดาษอุตฯดีขึ้นเล็กน้อย และยังเริ่มเดินสายการผลิตใหม่เพิ่ม โดยภาพรวมมองกำไรไตรมาส 1/57 น่าจะเพิ่มขึ้น 6% เป็น 9.3 พันล้านบาท ตามการผลักดันของธุรกิจปิโตรฯ

ทั้งนี้ คาดการณ์รายได้ปี 57 เพิ่มขึ้น 5-6% จากการผลิตปิโตรฯเต็มที่มากขึ้นจากปีก่อนที่มีการปิดซ่อมบำรุง

"ใน 3 ธุรกิจยังมีธุรกิจปิโตรฯที่เติบโตได้ดีอยู่ ซึ่งมีการส่งออกต่างประเทศค่อนข้างมาก จึงเข้ามาชดเชยความเสี่ยงในธุรกิจอื่นๆ โดยในส่วนของธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างปีนี้อาจจะเติบโตได้ไม่มาก ขณะที่ธุรกิจกระดาษก็มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ขายสินค้าที่ให้มูลค่าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแนวโน้มธุรกิจก็ยังพอไปได้เรื่อยๆ ในไตรมาส 1 นี้ คาดการณ์ว่าน่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังกังวลต่อแนวโน้มธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งคงต้องรอดูสถานการณ์การเมืองว่ารัฐบาลใหม่จะสามารถลงทุนได้เร็วแค่ไหน" นายดนัย กล่าว

นายชาตรี ศรีสมัยเจริญ นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา ประเมิน ผลประกอบการ SCC ในไตรมาส 1/57 คาดธุรกิจปิโตรเคมีจะมีกำไรสุทธิ 9.1 พันล้านบาท จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์-วัตถุดิบหลักขยายตัวเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ทั้ง HDPE-Naphtha และ Polypropylene-Naphtha ได้รับปัจจัยบวกจากอุปสงค์ของจีนที่ยังแข็งแกร่ง

ด้านปริมาณขายโอลิฟินส์คาดจะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/56 แม้ว่าสายการผลิตของโรงงานมาบตาพุดโอลิฟินส์เดินเครื่องได้เต็มไตรมาสในไตรมาส 1/57 ภายหลังปิดซ่อมบำรุงโรงงานเป็นระยะเวลา 45 วัน แต่อุปสงค์ที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลังของปีก่อน ส่งผลให้สต๊อกปิโตรฯที่คงเหลือจากปี 56 อยู่ในระดับต่ำจนบริษัทไม่ได้ประโยชน์ในแง่ปริมาณขาย

ขณะที่ธุรกิจปูนซิเมนต์เติบโตจากปริมาณขายที่คาดว่าจะเติบโตได้ 3% เมื่อเทียบกับทั้งปี 56 ที่เติบโตสูงถึง 7% เนื่องจากงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่ชะลอออกไปอย่างไม่มีกำหนด ส่วนธุรกิจกระดาษแม้ได้รับปัจจัยลบจากส่วนต่างราคาที่แคบลงของทั้งกระดาษบรรจุหีบห่อและกระดาษ Fibrous และอุปสงค์ของกระดาษพิมพ์เขียนที่ชะลอตัวจากความนิยมในการใช้อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์เข้ามาแทนที่ แต่การปรับสายการผลิตบางส่วนของกระดาษพิมพ์เขียนมาเป็นสินค้า High-value added ในช่วงปลายปีที่แล้ว มองว่าจะส่งผลบวกต่อธุรกิจกระดาษโดยรวมให้กลับมาเติบโตได้ในไตรมาสนี้

"จุดเด่นของ SCC อยู่ที่กลุ่มธุรกิจโดยรวมของบริษัทพึ่งพิงตลาดในประเทศน้อยกว่ารายใหญ่อื่นๆในกลุ่มเดียวกันและการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสินค้า High value-added เป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการในระยะยาวให้แก่กลุ่มบริษัท คาดผลประกอบการไตรมาส 1/57 จะเติบโตได้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน จากการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจปิโตรเคมีที่เริ่มฟื้นตัวในปี 56" นายชาตรี กล่าว

แนวโน้มผลประกอบการปี 57 ประมาณการณ์ว่านอกเหนือจากปัจจัยบวกจากธุรกิจปิโตรเคมีที่มีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จุดเด่นหลักของบริษัทอยู่ที่ความหลากหลายของกลุ่มธุรกิจที่ช่วยลดการพึ่งพิงตลาดในประเทศ ซึ่งคาดว่าสัดส่วนกำไรสุทธิของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีในปี 57 จะขยับขึ้นเป็น 40% ของกำไรสุทธิโดยรวมและธุรกิจที่พึ่งพิงตลาดในประเทศ ปูนซิเมนต์และวัสดุก่อสร้างจะมีสัดส่วนลดลงเป็น 40% ของกำไรสุทธิโดยรวม

รวมถึงธุรกิจปิโตรเคมียังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นสนับสนุนอัตราเติบโตของผลประกอบการในอีก 2 ปีข้างหน้า ราคาหุ้นปัจจุบันยังคงถูกและให้อัตราผลตอบแทนปันผลราว 3.6% ต่อปี จึงเหมาะสำหรับซื้อสะสมเพื่อการลงทุนในระยะยาว

นายณัฐ พนัสสุทรากร นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลประกอบการ SCC ไตรมาส 1/57 น่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจหลักในเครือทั้ง 3 กลุ่ม มองธุรกิจปิโตรเคมีแม้ราคา Olefins จะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่ราคา naphtha ที่ลดลงจากการกลับมาผลิตของโรงงานปิโตรเคมี ทำให้ส่วนต่างราคาเคมีภัณฑ์โดดเด่นอยู่ในระดับที่สูง

นอกจากนี้การเดินเครื่องด้วยอัตราการผลิตเต็ม 100% ก็น่าจะช่วยสนับสนุนให้ EBITDA Margin ในไตรมาสที่ 1/57 เพิ่มขึ้นเป็น 11.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ธุรกิจกระดาษการที่บริษัทปรับปรุงโรงงานผลิตสามารถตอบสนองต่ออุปสงค์ที่แข็งแกร่งในช่วงตรุษจีนได้ และการมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ HVA product ส่งผลให้อัตรากำไรสูงกว่าสินค้าทั่วไปประมาณ 5-10% ก็น่าจะช่วยให้ EBITDA Margin ในไตรมาสที่ 1/57 ยืนอยู่ได้ที่ 17.1% จาก 18.5% ในไตรมาสที่ 1/56

ด้านธุรกิจปูนซีเมนต์ปริมาณยอดขายปูนของ SCC คาดจะโตได้ถึง 4-5% จากโครงการก่อสร้างที่มีอยู่ของทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งช่วยชดเชยตลาดกระเบื้องหลังคาที่กำลังทรุดตัวอย่างหนักได้ ขณะเดียวกันระดับราคาขายปูนซีเมนต์ในประเทศที่ทรงตัวอยู่ที่ 1,900-1,950/ตัน และอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของวัสดุก่อสร้างในต่างจังหวัดก็น่าจะสนับสนุนให้ EBITDA margin ในไตรมาสที่ 1/57 ทรงตัวอยู่ได้ที่ 15.0% จาก 15.1% ในไตรมาสที่ 1/56

คาดกำไรปกติปี 57 จะเพิ่มขึ้น 7.1% เป็น 3.77 หมื่นล้านบาท จาก 3.52 หมื่นล้านบาท ในปี 56 จากส่วนต่างราคาเคมีภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง และการเดินเครื่องที่อัตราการผลิตเต็ม 100% ของโรงงานปิโตรเคมีหลักทั้ง 2 แห่ง และการฟื้นตัวของธุรกิจกระดาษหลังจากที่ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโรงงานกระดาษเป็นผลสำเร็จ เน้นการดำเนินกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ HVA รวมถึงจากวัฏจักรขาขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนแนวโน้มกำไรให้แข็งแกร่งในอีกสามปีข้างหน้าอีกด้วย

นายดุลเดช บิค นักวิเคราะห์ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/57 คาดจะมีรายได้อยู่ที่ 1.13 แสนล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 9.34 พันล้านบาท ยังคงได้แรงหนุนจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังโตต่อเนื่อง จากสัญญาณเศรษฐกิจในหลายประเทศส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น ทำให้การบริโภคสินค้าที่ใช้ปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนที่ตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสแรกออกมาดีกว่าคาดการณ์ไว้

ส่วนธุรกิจปูนซีเมนต์ยังขยายตัวได้จากโครงการที่ยังมีการดำเนินการก่อสร้างอยู่ แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยทางการเมืองที่ยังกดดันอยู่ ซึ่งทำให้การลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนชะลอตัว ซึ่งจะเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 57 ขยายฐานธุรกิจเดิม และธุรกิจกระดาษคาดว่ายังทรงตัว แต่หลังจากที่บริษัทได้ บริษัท Nippon จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเป็นพันธมิตรร่วมทุน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญ Dissolving Grade Pulp ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มี Margin สูงกว่าเยื่อกระดาษธรรมดาซึงคาดว่าน่าจะเห็นผลิตภัณฑ์ที่เป็น High Value Added (HVA) ที่จะเพิ่มขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ นอกจากนี้ยังมีแผนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องโดยจะเป็นลักษณะ M&A หรือ Joint Venture เพื่อต่อยอด

"ยังมองว่าธุรกิจปิโตรเคมียังอยู่ในช่วงที่เป็นขาขึ้นซึ่งจะช่วยทำให้ผลประกอบการปีนี้ยังคงเติบโตได้ แม้ในส่วนของธุรกิจปูนซีเมนต์ที่อาจจะชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่คาดว่าธุรกิจปูนซีเมนต์ยังคงเติบโตได้ 5-7% นอกจากนี้บริษัทยังคงมีแผนที่ยังขยายธุรกิจไปยังแถบภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง"นายดุลเดช กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ