UMI ออกหุ้นกู้คืนหนี้-ลดต้นทุนดอกเบี้ย, มองเป้า 3 ปีรายได้แตะ 4 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 29, 2014 11:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวปวีณา เหล่าวิวัฒน์วงศ์ ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (UMI) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นดูราเกรส กระเบื้องบุผนังดูราเกรส-ลีลา เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ เพื่อนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนไปใช้ในการคืนหนี้สถาบันการเงิน ซึ่งจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่าย และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการ

“การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ถือเป็นการทดสอบตลาด เพราะเป็นการออกหุ้นกู้ครั้งแรกของบริษัท ซึ่งเชื่อว่าน่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันเป็นอย่างดี เนื่องจากผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง" นางสาวปวีณา กล่าว

ก่อนหน้านี้ ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติแผนการออกหุ้นกู้ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท เพื่อนำมาปรับปรุงเทคโนโลยีทางการผลิตให้มีความทันสมัย และมีประสิทธิภาพสูงสุดทั้งในส่วนของกระบวนการผลิต และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเพื่อนำไปชำระคืนเงินกู้ ซึ่งจะทำให้ประหยัดต้นทุนทางการเงิน เพื่อรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว จากปัญหาการเมืองในประเทศ

การออกหุ้นกู้ยังช่วยให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียน เพื่อใช้ในการขยายกิจการในอนาคตอีกด้วย สอดคล้องกับแผนการดำเนินธุรกิจ หลังรวมกลุ่มธุรกิจเป็น UMI GROUP โดยได้มีการวางแผน การผลิตกระเบื้องไซส์ใหญ่ ซึ่งจะให้บริษัท ที.ที เซรามิค จำกัด (TCC) ผลิตทำการสินค้าภายใต้แบรนด์ดูราเกรส เพื่อทดแทนสินค้านำเข้าที่คาดว่าจะมีราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากการประกาศใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิก มอก. 2508-2555 ซึ่งทาง UMI GROUP ก็ได้รับใบอนญุต มอก. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้ง ได้จัดอันดับเครดิตองค์กร UMI ที่ “BBB-“ ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะการเป็นผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิครายใหญ่อันดับ 3 ของไทย ตลอดจนตราสัญลักษณ์สินค้าและชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักและยอมรับในด้านคุณภาพ รวมถึงส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นหลังจากการซื้อกิจการของ บริษัท ที.ที. เซรามิค จากัด และ บมจ.โรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม (RCI) ในสัดส่วน 89% และ 32% ตามลำดับ

ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายของบริษัทน่าจะเติบโตถึงระดับ 4,000 ล้านบาทต่อปีตามประมาณการพื้นฐาน โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทจะมาจากการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของบริษัท ที.ที. เซรามิคซึ่งน่าจะมีผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน โดยน่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 6%-10% และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นโดยลดลงจาก 52% ณ สิ้นปี 56 เหลือ 40%-45% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทไม่น่าจะมีการลงทุนขนาดใหญ่ที่มากกว่า 500 ล้านบาท ในอนาคตอันใกล้นี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ