ขณะที่การนำบมจ. ซีทีเอช เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ยังคงอยู่ในแผนและไม่มีการยกเลิกแต่อย่างใด
นายวิชัย มองว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยขณะนี้ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลผลักดันให้ธุรกิจต่างๆในช่วงครึ่งปีหลังนี้สามารถเติบโตไปได้ จากปัญหาทางการเมืองเริ่มคลี่คลายลง และเชื่อว่าแผนการลงทุนต่างๆ ของรัฐบาลชุดใหม่จะเป็นปัจจัยที่เรียกความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้เป็นอย่างดี มองว่าหุ้นที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุด คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง และธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ นายวิชัย ระบุว่า มีความสนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล และพิจารณาหลายบริษัท คาดว่าจะได้เห็นการเข้าไปซื้อหุ้นอย่างน้อย 1 บริษัทภายในปีนี้ โดยมองว่ากลุ่มธุรกิจดังกล่าวมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมากในอนาคต เนื่องด้วยพลังงานเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน
ส่วนการขายหุ้น บมจ.อาร์พีซีจี (RPC) ออกเกือบ 4% เป็นผลจากการกระจายความขัดแย้งภายในออกไป อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวยังคงถือหุ้นอยู่ 14% แต่ก็คงจะทยอยขายออกไปจนหมด ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะขายครบจำนวนเมื่อใด โดยจะดูความเหมาะสมของราคาในการซื้อขายแต่ละวัน
ด้านการลงทุนใน บมจ.ตงฮั้ว คอมมูนิเคชั่นส์(TH) ที่ถืออยู่ประมาณ 10% ก็คงจะขายออกเช่นกัน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเมื่อใด และวิธีการขายจะเป็นลักษณะใด สาเหตุที่จะขายเนื่องจากโมเดลธุรกิจไม่ตรงกัน เพราะตนเองต้องต้องการผลักดันธุรกิจด้านพลังงานและพลังงานทดแทน แต่ผู้ถือหุ้น TH มีแนวคิดร่วมกับบริษัทที่ทำธุรกิจสื่อขนาดใหญ่ แต่ในกรณีนี้คงไม่กระทบกับ TH มาก เนื่องจากจำนวนหุ้นที่ถือเป็นระดับที่ไม่สูงมากนัก
"เศรษฐกิจในประเทศปรับตัวดีขึ้น มีการลงทุนจำนวนมาก โดยในส่วนตัวก็มองการลงทุนอยู่บ้าง ซึ่งมองการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน คาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะเห็นความชัดเจนได้"นายวิชัย กล่าว
นายวิชัย ยังเปิดเผยอีกว่า ยังไม่มีแผนขายหุ้นตัวอื่นที่ถือไว้ออกมา เนื่องจากการทำธุรกิจเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่คาดหวังไว้
ปัจจุบัน นายวิชัย ถืออยู่ใน บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) ที่ถืออยู่ 10.01% และ บมจ. ฟอร์ท คอร์ปเรชั่น (FORTH) ที่ถืออยู่ 7.29% รวมถึงบมจ. ทีดับบลิวแซด (TWZ ) ที่ถืออยู่ 9.8% ซึ่งการถือหุ้นใน 3 บริษัทดังกล่าว นายวิชัย มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ทั้งหมด