ส่วนในอนาคตหากรัฐบาลจะเข้ามาซื้อกิจการบริษัทท่อก๊าซเพื่อเป็นเจ้าของเองทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับนโยบาย อย่างไรก็ตาม ท่อก๊าซมีมูลค่าสูงนับแสนล้านบาทซึ่งทางภาครัฐคงต้องดูความคุ้มค่าให้รอบคอบ
ด้านโครงการศึกษาการสร้างท่อส่งน้ำมันของประเทศนั้น เบื้องต้น PTT พบว่าผลตอบแทนการลงทุนต่ำมาก หรือไม่ถึง 10% ของมูลค่าการลงทุน ซึ่งตามปกติหากการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำขนาดนี้ ภาครัฐจะต้องสนับสนุนด้วยการลดภาษีการลงทุนให้กับภาคเอกชน หรือให้เงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในด้านกฎระเบียบต่างๆด้วย
อย่างไรก็ตาม PTT เห็นว่าเพื่อให้โครงการดังกล่าวดำเนินการได้โดยเร็วก็ควรให้ภาคเอกชนเป็นผู้ร่วมลงทุนแทนภาครัฐ เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูง หากภาครัฐดำเนินการเองจะกลายเป็นภาระต่องบประมาณแผนดิน เพราะการวางท่อน้ำมันไปยังภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะทางภาคเหนือต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และภาคอีสานอีก 1 หมื่นล้านบาท
"หากจะให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุน ควรให้เอกชนที่มีท่อส่งน้ำมันอยู่แล้วเป็นผู้ร่วมลงทุนขยายท่อส่งน้ำมันต่อเนื่องไปภาคเหนือและภาคอีสานเช่น บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด(FPT) และบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด(แทปไลน์) เป็นต้น โดยในส่วนของแทปไลน์หากผู้ร่วมทุนอื่นไม่พร้อมลงทุนเพิ่มทางปตท.ยินดีเข้าไปถือหุ้นในแทปไลน์เพิ่มขึ้นเพื่อให้โครงการท่อส่งน้ำมันเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว"นายสรัญกล่าว
ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เห็นว่าการแยกบริษัทท่อก๊าซของ PTT นั้นเจตนารมย์ของภาครัฐเองต้องการให้ธุรกิจในประเทศมีการแข่งขันอย่างเสรีมากขึ้น และให้ผู้ที่มีความต้องการใช้บริการได้รับความเป็นธรรมเรื่องของราคา ซึ่งแม้จะมีการแยกธุรกิจออกมาแล้ว PTT ก็ไม่สามารถกำหนดราคาโดยอิสระ เพราะจะอยู่ภายใต้คณะกรรมการกำกับดูแลด้านพลังงาน(เรกูเลเตอร์)จะเข้ามาทำหน้าที่ดูแลการกำหนดราคาเพื่อให้ผู้ใช้บริการขนส่งทางท่อได้รับความเป็นธรรม