กองทุนมีนโยบายนำเงินไปลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ไม่เกิน 50,000 ล้านบาท โดยเน้นเลือกหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจที่ดีในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (MAI) ซึ่งจะเลือกลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สุทธิของกองทุน
สำหรับเงินลงทุนในส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนในเงินฝาก ตราสารทางการเงิน และตราสารแห่งหนี้ รวมถึงหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่นๆ หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย ก.ล.ต. ซึ่งกองทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารแห่งทุนของบริษัทที่มีขนาดกลางและขนาดเล็ก และสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง
นายพงศ์พิเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า มีความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของหุ้นกลุ่มบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก เพราะหุ้นในกลุ่มนี้นับว่ามีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่ดี และยังมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของบริษัทเพิ่มขึ้นเทียบเท่ากับหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งจากการเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กกับหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ ในช่วงระยะเวลา 3-5 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขผลตอบแทนของหุ้นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า
นอกจากนั้น จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของหุ้นในกลุ่มนี้ คือ มีสภาพคล่องจากปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้น และมีมูลค่าตลาดที่สูงขึ้น จึงทำให้หุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ได้รับการจัดอันดับเข้าไปอยู่ในดัชนีสากล (Global Indices) อาทิ FTSE Global Equity Index, FTSE Mid Cap Index, FTSE Small Cap Index. MSCI Global Standard, MSCI Small Cap Index, MSCI Emerging Markets. ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสที่นักลงทุนจะได้รับจากการเติบโตของหุ้นในกลุ่มนี้
ส่วนมุมมองด้านเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่รัฐบาลได้ทยอยออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและแผนการพัฒนาประเทศ หากรัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโบบายดังกล่าวได้ตามกรอบระยะเวลาที่ตั้งไว้ ก็จะส่งผลดีต่อเนื่องทั้งในด้านการขยายตัวของอุตสาหกรรมและการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน