นอกจากนั้น นายมงคลนิมิตร ยังกล่าวว่า บริษัทยังเดินหน้าขยายธุรกิจในประเทศไทย โดยตั้งเป้าภายในปี 58 จะมียอดขายปลีกน้ำมันขึ้นเป็นอันดับ 2 ของประเทศ จากปัจจุบันอยู่ในอันดับ 3 ที่มีส่วนแบ่งตลาด 15% โดยคาดว่าปีหน้ายอดขายจะเติบโต 5% จากปีนี้ที่มียอดขายราว 3 แสนล้านลิตร ส่วนใหญ่จะเป็นการเติบโตมาจากยอดขายน้ำมัน E20 ที่ทางบริษัทได้เพิ่มสถานีบริการน้ำมันที่มีหัวจ่าย E20 เพิ่มเป็น 300 แห่ง จากสถานีบริการน้ำมันของบริษัทที่มีอยู่ทั้งหมด 520 แห่ง
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนกว่า 2.2 พันล้านบาทในปีหน้า แบ่งเป็นปรับปรุงโรงกลั่นและโรงงานปิโตรเคมี จำนวน 1.2 พันล้านบาท และอีก 1 พันล้านบาทจะใช้ในการปรับปรุงสถานีบริการน้ำมัน และขยายจำนวนอีก 30 แห่ง ส่วนการขยายธุรกิจไปอาเซียนขณะนี้ยังไม่มีแผนงาน เพราะต้องการรอดูผลดีผลเสียในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC )ก่อน
สำหรับการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน นายมงคลนิมิตร กล่าวว่า บริษัทสนับสนุนให้ราคาปรับตัวตามราคาตลาดโลกเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการใช้น้ำม้น และการขายน้ำมัน
ด้านนายยอดพงศ์ สุตธรรม กรรมการและผู้จัดการการตลาดขายปลีก ESSO แสดงความเห็นต่อกรณีกระทรวงพลังงานเตรียมปรับโครงสร้างราคาพลังงานว่า เห็นด้วยเนื่องจากทำให้สะท้อนต้นทุนที่แทัจริง และควรเป็นไปตามกลไกตลาด เพื่อให้เกิดการใช้อย่างมีประสิทธิภาพไม่บิดเบือน นอกจากนี้ยังเห็นดัวยที่ปรับลดหัวจ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91
ขณะที่ นายนีล เอ แฮนเซ็น ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ ESSO กล่าวว่า เอสโซ่ยังคงให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว ทั้งยังมุ่งเน้นความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนกว่า 1 พันล้านบาท เพื่อปรับปรุง พัฒนาและขยายธุรกิจค้าปลีก เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสถานีบริการของเอสโซ่มีประสิทธิภาพ และสามารถจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจากโรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่ศรีราชาถึงผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี